สหรัฐจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สหรัฐอเมริกา
United States of America (อังกฤษ)
MENU
0:00
MENU
0:00
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด,
• 2561 (ประเมิน)328,173,000
[4] (
3)
• 2553 (สำมะโน)309,349,689
[5] (
3)
90.6 คน/ตร.ไมล์
• รวม$ 19.362 ล้านล้าน
จีดีพี (ราคาตลาด)2560 (ประมาณ)
• รวม$ 19.362 ล้านล้าน
• ฤดูร้อน (
DST) (
UTC−4 to −10)
เว็บไซต์ทางการ
สหรัฐมีพื้นที่ขนาด 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 326 ล้านคน ทำให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก
[fn 4]และ
มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เป็นประเทศซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และเป็นที่พำนักของประชากรเข้าเมืองใหญ่สุดในโลก
[13] การมีลักษณะแบบเมืองทะยานเกิน 80% ในปี ค.ศ. 2010 และนำสู่มหภาค (megaregion) ที่เติบโตขึ้น เมืองหลวงของประเทศ คือ กรุง
วอชิงตัน ดี.ซี. และนครใหญ่สุดคือ
นครนิวยอร์ก
สหรัฐเป็นประเทศพัฒนาสูง โดยมีเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกตามจีดีพีราคาตลาด อยู่ในอันดับต้น ๆ ในการวัดสมรรถภาพสังคมเศรษฐกิจหลายรายการ ซึ่งรวมถึงค่าจ้างเฉลี่ย
[23] การพัฒนามนุษย์ จีดีพีต่อหัวและผลิตภาพต่อคน
[24] ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถือว่าเป็นหลังอุตสาหกรรม (post-industrial) ซึ่งมีลักษณะที่บริการและเศรษฐกิจความรู้ครอบงำ แต่ภาคการผลิตยังมีขนาดใหญ่สุดอันดับสองของโลก
[25] แม้มีประชากรรวมเพียง 4.3% ของโลก
[26] แต่สหรัฐคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของจีดีพีโลก
[27] และกว่าหนึ่งในสามของรายจ่ายทางทหารโลก
[28] ทำให้เป็นชาติเศรษฐกิจและการทหารแนวหน้า สหรัฐเป็นประเทศการเมืองและวัฒนธรรมโดดเด่น และผู้นำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเทคโนโลยี
[29]
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด,
เนื้อหา
นิรุกติศาสตร์
[แก้]ในปี ค.ศ. 1507 นักเขียนแผนที่ชาวเยอรมัน
มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ผลิตแผนที่โลกซึ่งเขาได้ตั้งชื่อดินแดนทางซีกโลกตะวันตกในแผนที่ดังกล่าวว่า "อเมริกา" ตามชื่อของนักสำรวจและนักเขียนแผนที่ชาวอิตาเลียน
อเมริโก เวสปุชชี[30] หลักฐานเอกสารแรกของวลี "สหรัฐอเมริกา" มาจากจดหมายลงวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1776 ซึ่งสตีเฟน มอยแลน นายทหารผู้ช่วยของจอร์จ วอชิงตันและนายพลแห่งกองทัพภาคพื้นทวีป ส่งถึงพลโท โจเซฟ รีด มอยแลนแสดงความปรารถนาของเขาในการนำ "อำนาจเต็มและเกินพอของสหรัฐอเมริกา" ไปประเทศสเปนเพื่อสนับสนุนในความพยายามของสงครามปฏิวัติ
[31] สิ่งพิมพ์เผยแพร่แรกเท่าที่ทราบของวลี "สหรัฐอเมริกา" อยู่ในความเรียงไม่ทราบผู้เขียนในหนังสือพิมพ์
เดอะเวอร์จิเนียกาเซต ในวิลเลียมสเบิร์ก เวอร์จิเนีย เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1776
[32]
เดิมอดีตอาณานิคมอังกฤษได้ใช้ชื่อเรียกสมัยใหม่ของประเทศใน
คำประกาศอิสรภาพ ("การประกาศอิสรภาพของสิบสามสหรัฐอเมริกาด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน") ประกาศใช้โดย "คณะผู้แทนสหรัฐอเมริกา" เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319
[33] ส่วนชื่อในปัจจุบันได้รับการสรุปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2320 เมื่อสภานิติบัญญัติภาคพื้นทวีปที่สองได้ประกาศใช้ข้อบังคับแห่งสมาพันธรัฐ ความว่า "สมาพันธรัฐซึ่งตั้งขึ้นนี้ เรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ถ้อยคำมาตรฐานสั้น ๆ ซึ่งใช้เรียกสหรัฐอเมริกา คือ
สหรัฐ (United States) และชื่อเรียกอีกหลายรูปแบบ ได้แก่
the U.S.,
the USA และ
America คำว่า
Columbia ก็เคยเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมในการเรียกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาจากชื่อของ
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และยังปรากฏในชื่อ "
District of Columbia" อีกด้วย
สำหรับการเรียกสหรัฐอเมริกาของคนไทย ในอดีต เคยเรียกชื่อสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา"
[34] ส่วนชื่ออื่นที่ใช้เรียกสหรัฐอเมริกา เช่น
มะกัน ลุงแซมอินทรี พญาอินทรี เจ้าโลก หรือ
ตำรวจโลก
ภาษาศาสตร์
[แก้]ในภาษาอังกฤษ คำมาตรฐานซึ่งหมายถึงพลเมืองของสหรัฐอเมริกา คือ
อเมริกัน (American) ถึงแม้ว่า
United States จะเป็นคำคุณศัพท์อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งคำว่า
Americanและ
U.S. เป็นคำคุณศัพท์อันเป็นที่นิยมมากกว่า ในการระบุถึงสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้
อเมริกัน ยังอาจหมายถึง ทวีปอเมริกา อีกด้วย แต่มักจะถูกใช้น้อยมากในภาษาอังกฤษ เพื่อหมายความถึงประชากรซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา
[35]
เดิม วลี "สหรัฐอเมริกา" ถือว่าเป็นคำพหูพจน์ (ใช้กับคำกริยา
are,
were, ...) — รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 13 ซึ่งมีผลใช้บังคับในปี พ.ศ. 2408 อีกด้วย แต่คำดังกล่าวได้กลายมาเป็นคำเอกพจน์ (ใช้กับคำกริยา
is,
was, ...) — หลังจาก
ยุคสงครามกลางเมือง และได้กลายมาเป็นรูปแบบมาตรฐานในปัจจุบัน แต่รูปแบบพหูพจน์ก็ยังคงปรากฏในสำนวน "these United States"
[36]
การสร้างใหม่ของศิลปินซึ่งแหล่งคินเคดจากวัฒนธรรมมิสซิสซิปปีก่อนประวัติศาสตร์ ตามที่อาจปรากฏ
[37]ผู้อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาเหนือคนแรก ๆ ย้ายถิ่นจาก
ไซบีเรียโดยทางสะพานบกเบริงและมาถึงอย่างน้อย 15,000 ปีมาแล้ว แม้มีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่เสนอว่าอาจมาถึงก่อนหน้านั้นอีก
[38] หลังข้ามสะพานบกแล้ว ชาวอเมริกันกลุ่มแรกย้ายลงใต้ โดยอาจตามชายฝั่งแปซิฟิก
[39][40] หรือผ่านหิ้งปลอดน้ำแข็งในแผ่นดินระหว่างหิ้งน้ำแข็งคอร์ดิลเลอร์แรน (Cordilleran) และลอเรนไทด์ (Laurentide)
[41]วัฒนธรรมโคลวิสปรากฏประมาณ 11,000 ปีก่อน ค.ศ. และถือว่าเป็นบรรพบุรุษของวัฒนธรรมพื้นเมืองสมัยหลังของทวีปอเมริกาส่วนใหญ่
[42] แม้คิดกันตลอดปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ว่าวัฒนธรรมโคลวิสเป็นตัวแทนของการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งแรกในทวีปอเมริกา
[43] แต่ในช่วงปีหลัง ๆ ได้เปลี่ยนมาตระหนักถึงวัฒนธรรมก่อนโคลวิส
[44]
ต่อมา วัฒนธรรมพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น และบางวัฒนธรรมเช่น วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีสมัยก่อนโคลัมบัสในทางตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาการกสิกรรมก้าวหน้า สถาปัตยกรรมใหญ่ และสังคมระดับรัฐ
[45] ตั้งแต่ประมาณปี 800 ถึง 1600
[46] วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีเฟื่องฟู และนครใหญ่สุด คะโฮเคีย (Cahokia) ถือเป็นแหล่ง
โบราณคดีสมัยก่อนโคลัมบัสที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในสหรัฐปัจจุบัน
[47] ในภูมิภาคเกรตเลกส์ทางใต้ มีการก่อตั้ง
สมาพันธรัฐอิระควอยในบางช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12
[48] ถึง 15
[49]และอยู่มาจนสิ้นสงครามปฏิวัติ
[50]
การตั้งถิ่นฐานหมู่เกาะฮาวายครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นยังเป็นหัวข้อการถกเถียงที่ยังดำเนินอยู่
[51] หลักฐานโบราณคดีดูเหมือนบ่งชี้ว่ามีนิคมตั้งแต่ปี 124
[52] ระหว่างการเดินเรือครั้งที่สามและครั้งสุดท้าย กัปตัน
เจมส์ คุกเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เริ่มการติดต่อกับฮาวายอยางเป็นทางการ
[53] หลังการขึ้นฝั่งครั้งแรกในเดือนมกราคม 1778 ที่ท่าไวเมีย เกาะ
คาไว คุกตั้งชื่อกลุ่มเกาะนี้วา "หมู่เกาะแซนด์วิช" ตาม
เอิร์ลที่ 4 แห่งแซนด์วิช รักษาราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือของ
ราชนาวีบริติช[54]
นักสำรวจชาวอิตาลี
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาถึงทวีปอเมริกาและเข้าควบคุมกัวนาฮานิหลังสเปนส่ง
โคลัมบัสในการล่องเรือเที่ยวแรกของเขาสู่
โลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1492 ก็มีนักสำรวจอื่นตามมา ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาถึงดินแดนของสหรัฐสมัยใหม่เป็นกองกิสตาดอร์สเปนอย่าง
ควน ปอนเซ เด เลออน ซึ่งเดินทางถึงฟลอริดาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1513 ทว่า หากคิดดินแดนที่ไม่รวมเข้าด้วยกันของสหรัฐด้วยแล้ว ความชอบจะเป็นของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสซึ่งขึ้นฝั่งที่
ปวยร์โตรีโกในการเดินทางปี ค.ศ. 1493 ชาวสเปนตั้งนิคมแห่งแรกในฟลอริดาและนิวเม็กซิโกอย่าง
เซนต์ออกัสตีน[55] และ
แซนตาเฟ ชาวฝรั่งเศสตั้งอาณานิคมของตนเช่นกันตาม
แม่น้ำมิสซิสซิปปี การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษที่สำเร็จตามชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือเริ่มด้วย
อาณานิคมเวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1607 ที่
เจมส์ทาวน์ และอาณานิคมพลีมัทของพิลกริมในปี ค.ศ. 1620 ผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากเป็นกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนขัดแย้งที่มาแสวงเสรีภาพทางศาสนา มีการสร้างสภาเบอร์จัสซิส (House of Burgesses) แห่งเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งแห่งแรกของทวีป ในปี ค.ศ. 1619 และข้อตกลงร่วมกันเมย์ฟลาวเออร์ (Mayflower Compact) ซึ่งพิลกริมลงนามก่อนขึ้นฝั่ง และภาคีมูลฐานแห่งคอนเนกติคัด สถาปนาแบบอย่างสำหรับรูปแบบการปกครองตนเองแบบมีผู้แทนและระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งจะพัฒนาทั่วอาณานิคมอเมริกา
[56][57]
ผู้ตั้งถิ่นฐานส่วนมากในทุกอาณานิคมเป็นเกษตรกรรายย่อย แต่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นในไม่กี่ทศวรรษแตกต่างกันตามนิคม พืชเศรษฐกิจมียาสูบ ข้าวเจ้าและข้าวสาลี อุตสาหกรรมการสกัดเติบโตขึ้นในหนังสัตว์ การประมงและการทำไม้ ผู้ผลิตผลิตรัมและเรือ และเมื่อถึงสมัยอาณานิคมตอนปลาย ชาวอเมริกันก็ผลิตหนึ่งในเจ็ดของอุปสงค์เหล็กโลก
[58] สุดท้ายนครต่าง ๆ ผุดขึ้นตามชายฝั่งเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและใช้เป็นศูนย์กลางการค้า ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษมีระลอกชาวสกอต-ไอริชและกลุ่มอื่นเข้ามาเสริม เมื่อที่ดินชายฝั่งมีราคาแพงขึ้นทำให้แรงงานสัญญา (indentured servant) ที่เป็นอิสระถูกผลักไปทางทิศตะวันตก
[59]
การค้าทาสขนานใหญ่กับไพรวะเทียร์อังกฤษเริ่มต้น
[60] การคาดหมายคงชีพของทาสในทวีปอเมริกาเหนือสูงกว่าทางใต้มาก เนื่องจากมีโรคน้อยกว่าและมีอาหารและการปฏิบัติที่ดีกว่า นำให้มีการเพิ่มจำนวนของทาสอย่างรวดเร็ว
[61][62] สังคมอาณานิคมส่วนใหญ่แบ่งแยกกันระหว่างการส่อความทางศาสนาและศีลธรรมของความเป็นทาส และอาณานิคมผ่านรัฐบัญญัติทั้งสนับสนุนและคัดค้านทาส
[63][64] แต่เมื่อย่างเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทาสแอฟริกาก็เป็นแรงงานพืชเศรษฐกิจแทนที่แรงงานสัญญา โดยเฉพาะในภาคใต้
[65]
ด้วยการทำให้จอร์เจียเป็นอาณานิคมของบริติชในปี ค.ศ. 1732 จึงมีการสถาปนา
สิบสามอาณานิคมที่จะกลายเป็นสหรัฐในเวลาต่อมา
[66] ทุกอาณานิคมมีรัฐบาลท้องถิ่นและการเลือกตั้งที่เปิดแก่ชายไททุกคน โดยมีการฝักใฝ่สิทธิชนอังกฤษโบราณและสำนึกการปกครองตนเองที่กระตุ้นการสนับสนุน
สาธารณรัฐนิยม[67] ด้วยอัตราการเกิดที่สูงมาก อัตราการตายที่ต่ำมากและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง ประชากรอาณานิคมจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรอเมริกันพื้นเมืองค่อนข้างน้อยถูกบดบัง
[68] ขบวนการฟื้นฟูคริสต์ศาสนิกชน (Christian revivalist) คริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 ที่เรียก การตื่นใหญ่ (Great Awakening) ช่วยเร่งความสนใจทั้งศาสนาและเสรีภาพในการนับถือศาสนา
[69]
ระหว่าง
สงครามเจ็ดปี (หรือเรียก สงครามฝรั่งเศสและอินเดียน) กำลังบริติชยึดแคนาดาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรที่พูดภาษาฝรั่งเศสยังโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทางใต้ 13 อาณานิคมเหล่านี้มีประชากรกว่า 2.1 ล้านคนหรือประมาณหนึ่งในสามของบริเตนในปี ค.ศ. 1770 หากไม่นับอเมริกันพื้นเมืองซึ่งถูกพิชิตและขับไล่ แม้มีการเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติสูงจนเมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1770 มีชาวอเมริกันน้อยมากที่เกิดโพ้นทะเล
[70] ระยะห่างของอาณานิคมจากบริเตนทำให้มีการพัฒนาการปกครองตนเอง แต่ความสำเร็จของพวกเขาบันดาลให้พระมหากษัตริย์มุ่งย้ำพระราชอำนาจอยู่เป็นระยะ
[71]
ในปี ค.ศ. 1774 เรือกองทัพเรือสเปน
ซานเตียโก ภายใต้ควน เปเรซเข้าและทอดสมอในทางเข้าที่นูตคาซาวน์ (Nootka Sound) แม้ชาวสเปนมิได้ขึ้นฝั่ง แต่ชนพื้นเมืองพายเรือมายังเรือสเปนเพื่อค้าหนังสัตว์แลกกับเปลือก
แอบะโลนีจาก
แคลิฟอร์เนีย[72] ในเวลานั้น สเปนสามารถผูกขาดการค้าระหว่าง
ทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือได้โดยให้ใบอนุญาตจำกัดแก่
โปรตุเกส เมื่อ
ชาวรัสเซียเริ่มสถาปนาระบบการค้าหนังสัตว์ที่เติบโตขึ้นใน
อะแลสกา ชาวสเปนเริ่มคัดค้านรัสเซีย โดยการเดินเรือของเปเรซเป็นครั้งแรก ๆ ที่ไปแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ
[73][fn 5]
หลังมาถึงหมู่เกาะฮาวายในปี 1778 กัปตันคุกแล่นเรือขึ้นเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อสำรวจฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือซึ่งอยู่เหนือกว่านิคมสเปนใน
อัลตาแคลิฟอร์เนีย เขาขึ้นบกที่ฝั่งออริกอนที่ประมาณละติจูด 44°30′ เหนือ โดยตั้งชื่อจุดขึ้นบกนั้นว่า
เคปเฟาล์เวเทอร์ ลมฟ้าอากาศเลวบังคับให้เรือของเขาลงใต้ไปประมาณ 43° เหนือก่อนสามารถเริ่มการสำรวจชายฝั่งไปทางเหนือ
[75] ในเดือนมีนาคม 1778 คุกขึ้นบกที่เกาะไบล และตั้งชื่อทางเข้าว่า "คิงจอจส์ซาวด์" เขาบันทึกว่าชื่อชนพื้นเมือง คือ นุตคาหรือนูตคา
[76]
ผลต่อและอันตรกิริยากับประชากรพื้นเมือง
[แก้]ด้วยความคืบหน้าของการทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปในดินแดนสหรัฐร่วมสมัย อเมริกันพื้นเมืองมักถูกพิชิตและย้ายถิ่น
[77] ประชากรพื้นเมืองของอเมริกาเสื่อมลงหลังชาวยุโรปมาถึง และด้วยหลายสาเหตุ จากโรคอย่าง
โรคฝีดาษและ
โรคหัดเป็นหลัก ความรุนแรงมิใช่ปัจจัยสำคัญในการเสื่อมลงโดยรวมในหมู่อเมริกันพื้นเมือง แม้มีความขัดแย้งระหว่างกันเองและกับชาวยุโรปมีผลต่อบางเผ่าและนิคมอาณานิคมต่าง ๆ
[78][79][80][81][82][83]
ในช่วงแรกของการทำให้เป็นอาณานิคม ผู้ตั้งถิ่นฐานยุโรปจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร โรคและการโจมตีจากอเมริกันพื้นเมือง อเมริกันพื้นเมืองยังมักก่อสงครามกับเผ่าใกล้เคียงและเป็นพันธมิตรกับชาวยุโรปในสงครามอาณานิคมของตนเอง ทว่า ในเวลาเดียวกัน ชนพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากพึ่งพาอาศัยกัน ผู้ตั้งถิ่นฐานแลกเปลี่ยนเอาอาหารและหนังสัตว์ ส่วนชนพื้นเมืองแลกเอาปืน เครื่องกระสุนและสินค้ายุโรปอื่น
[84] ชนพื้นเมืองสอนผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากว่าจะเพาะปลูกข้าวโพด ถั่วและน้ำเต้าที่ไหน เมื่อใดและอย่างไร มิชชันนารียุโรปและอื่น ๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญจะ "ทำให้เจริญ" ซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและกระตุ้นให้พวกเขารับเทคนิคเกษตรกรรมและวิถีชีวิตของยุโรป
[85][86]
การเดินเรือเที่ยวสุดท้ายของกัปตันเจมส์ คุกรวมถึงการแล่นตามชายฝั่งทวีปอเมริกาเหนือและอะแลสกาเพื่อแสวงช่องทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลาประมาณเก้าเดือน เขากลับฮาวายเพื่อเติมกำลังบำรุง เดิมสำรวจชายฝั่ง
เมาวีและเกาะใหญ่ ค้าขายกับคนท้องถิ่นแล้วทอดสมอที่อ่าวเกียลาเคกัวในเดือนมกราคม ค.ศ. 1779 เมื่อเรือและพวกของเขาออกจากเกาะ เสาเรือหักในลมฟ้าอากาศเลว บังคับให้พวกเขาหวนคืนในกลางเดือนกุมภาพันธ์ คุกถูกฆ่าในอีกหลายวันต่อมา
[87]
คำประกาศอิสรภาพ โดย จอห์น ทรัมบูลสงครามปฏิวัติอเมริกาเป็นสงครามประกาศอิสรภาพอาณานิคมที่สำเร็จครั้งแรกต่อชาติยุโรป ชาวอเมริกันพัฒนาอุดมการณ์ "สาธารณรัฐนิยม" โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะต้องมาจากเจตจำนงของประชาชนโดยแสดงออกผ่านสภานิติบัญญัติท้องถิ่น พวกเขาเรียกร้องสิทธิเป็นชาวอังกฤษและ "
ห้ามจัดเก็บภาษีหากไม่มีผู้แทน" ฝ่ายบริติชยืนยันการบริหารจักรวรรดิผ่านรัฐสภา และความขัดแย้งบานปลายเป็นสงคราม
[88]
หลังการผ่าน
ข้อมติลีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ซึ่งเป็นการออกเสียงลงมติเอกราชที่แท้จริง
สภาทวีปที่สองลงมติรับ
คำประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งประกาศในคำปรารภยาวว่า มนุษยชาติถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกันในสิทธิที่ไม่อาจโอนกันได้และบริเตนใหญ่ไม่คุ้มครองสิทธิเหล่านี้ และประกาศในคำของข้อมติว่าสิบสามอาณานิคมเป็นรัฐเอกราชและไม่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์บริติชในสหรัฐ มีการเฉลิมฉลองวันที่ 4 กรกฎาคมทุกปีเป็นวันประกาศอิสรภาพ
[89] ในปี ค.ศ. 1777
บทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) สถาปนารัฐบาลอ่อนที่ดำเนินการจนปี ค.ศ. 1789
[89]
บริเตนรับรองเอกราชของสหรัฐหลัง
ปราชัยที่ยอร์กทาวน์ในปี ค.ศ. 1781
[90] ในสนธิสัญญาสันติภาพปี ค.ศ. 1783 เอกราชของสหรัฐได้รับการรับรองจากชายฝั่งแอตแลนติกไปทางตะวันตกถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี นักชาตินิยมนำ
การประชุมฟิลาเดลเฟียปี ค.ศ. 1787 ในการเขียนรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐ ให้สัตยาบันในการประชุมรัฐในปี ค.ศ. 1788 มีการจัดระเบียบรัฐบาลกลางใหม่เป็นสามอำนาจ โดยหลักการสร้างการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประโยชน์ ในปี ค.ศ. 1789
จอร์จ วอชิงตันซึ่งนำกองทัพปฏิวัติคว้าชัย เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ในปี ค.ศ. 1791 มีการลงมติรับบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองซึ่งห้ามการจำกัด
เสรีภาพส่วนบุคคลของรัฐบาลกลางและรับประกันการคุ้มครองทางกฎหมายต่าง ๆ
[91]
แม้รัฐบาลกลางทำให้การค้าทาสระหว่างประเทศเป็นความผิดในปี ค.ศ. 1808 แต่หลังปี ค.ศ. 1820 การใช้ทาสเพาะปลูกผลผลิตฝ้ายที่ได้กำไรสูงปะทุใน
ดีปเซาท์ พร้อมกับจำนวนประชากรทาสด้วย
[92][93][94] การตื่นใหญ่ที่สอง (Second Great Awakening) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 1800–1840 เข้ารีตคนหลายล้านคนสู่
โปรเตสแตนท์อีแวนเจลิคัล (evangelical) ในทิศเหนือ เหตุนี้ทำให้เกิดขบวนการปฏิรูปสังคมหลายขบวนการซึ่งรวมการเลิกทาส
[95] ในภาคใต้ มีการชวนเข้ารีตเมทอดิสต์ (Methodist) และ
แบปทิสต์ในหมู่ประชากรทาส
[96]
ดินแดนซึ่งสหรัฐเข้าถือสิทธิ์แบ่งตามเวลาความกระตือรือร้นของสหรัฐในการขยายดินแดนไปทางทิศตะวันตกทำให้เกิดสงครามอเมริกันอินเดียนยืดเยื้อ
[97] การซื้อลุยเซียนาซึ่งดินแดนที่ฝรั่งเศสอ้างในปี ค.ศ. 1803 ทำให้ประเทศมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
[98] สงครามปี 1812 ซึ่งประกาศต่อบริเตน กับความเดือดร้อนต่าง ๆ และการต่อสู้เพื่อดึงดูดและเสริมชาตินิยมสหรัฐ
[99] ชุดการบุกเข้าทางทหารสู่ฟลอริดานำให้สเปนยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนฝั่งอ่าว (Gulf Coast) ในปี 1819
[100] การขยายดินแดนได้รับการช่วยเหลือจาก
เครื่องจักรไอน้ำ เมื่อ
เรือจักรไอน้ำเริ่มล่องตามระบบธารน้ำขนาดใหญ่ของอเมริกาซึ่งเชื่อมด้วยคลองสร้างใหม่ เช่น อีรีและไอแอนด์เอ็ม แล้วกระทั่งรางรถไฟที่เร็วกว่าเริ่มลากข้ามดินแดนของประเทศ
[101]
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1820 ถึง 1850
ประชาธิปไตยแบบแจ็กสันเริ่มชุดการปฏิรูปซึ่งรวมสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของชายผิวขาวในวงกว้างขึ้น นำสู่ความเจริญของระบบพรรคที่สองประชาธิปไตยและวิกเป็นพรรคการเมืองหลังตั้งแต่ปี 1828 ถึง 1854
เส้นทางธารน้ำตาในคริสต์ทศวรรษ 1830 เป็นตัวอย่างของนโยบายกำจัดอินเดียนซึ่งตั้งถิ่นฐานอินเดียนใหม่ทางตะวันตกในเขตสงวนอินเดียน สหรัฐผนวก
สาธารณรัฐเท็กซัสในปี ค.ศ. 1845 ระหว่างสมัย
เทพลิขิตซึ่งมีลักษณะขยายดินแดน
[102] สนธิสัญญาออริกอนปี 1846 กับบริเตนนำให้สหรัฐควบคุมภาคตะวันตกเฉียงเหนือปัจจุบัน
[103] ชัยใน
สงครามเม็กซิโก–อเมริกาลงเอยด้วยการยกแคลิฟอร์เนียของเม็กซิโกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกเฉียงใต้ปัจจุบัน
[104]
การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนียปี ค.ศ. 1848–1849 กระตุ้นการย้ายถิ่นไปทางตะวันตกและการสถาปนารัฐทางตะวันตกเพิ่ม
[105] หลัง
สงครามกลางเมืองอเมริกา ระบบรางข้ามทวีปใหม่ทำให้การย้ายถิ่นง่ายขึ้นสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐาน การค้าภายในขยายตัวและความขัดแย้งกับอเมริกันพื้นเมืองเพิ่มขึ้น
[106] กว่าครึ่งศตวรรษ การสูญเสียอเมริกันไบซันมีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ต่อวัฒนธรรมอินเดียนที่ราบหลายวัฒนธรรม
[107] ในปี ค.ศ. 1869 นโยบายสันติภาพใหม่มุ่งคุ้มครองอเมริกันพื้นเมืองจากการละเมิด เลี่ยงสงครามเพิ่ม และประกันความเป็นพลเมืองสหรัฐในที่สุด แม้ความขัดแย้งซึ่งรวมสงครามอินเดียนครั้งใหญ่สุดหลายครั้งยังดำเนินต่อไปทั่วตะวันตกจนล่วงเข้าคริสต์ทศวรรษ 1900
[108]
ยุทธการที่เกตตีสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนียระหว่างสงครามกลางเมือง โดย
Thure de Thulstrupข้อแตกต่างของความเห็นและระเบียบสังคมระหว่างรัฐภาคเหนือและภาคใต้ในสังคมสหรัฐช่วงแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวข้องกับทาสผิวดำ จนสุดท้ายนำสู่
สงครามกลางเมืองอเมริกา[109] เดิมทีรัฐเข้าสู่สหภาพสลับกันระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีเพื่อรักษาสมดุลภาคในวุฒิสภา ขณะที่รัฐเสรีมีประชากรมากกว่ารัฐทาสและมีผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า แต่ด้วยมีดินแดนตะวันตกและรัฐเสรีเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีสูงขึ้นด้วยการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบสหพันธรัฐ การโอนการครอบครองดินแดน ควรขยายหรือจำกัดความเป็นทาสหรือไม่และอย่างไร[110]
อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ชนะการเลือกตั้ง ในปี ค.ศ. 1860 ประธานาธิบดีคนแรกจาก
พรรครีพับลิกันซึ่งส่วนใหญ่ต่อต้านความเป็นทาส สุดท้ายการประชุมในสิบสามรัฐทาสประกาศแยกตัวออกและตั้ง
สมาพันธรัฐอเมริกา ขณะที่รัฐบาลกลางยืนยันว่าการแยกตัวออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย[110] สงครามที่เกิดขึ้นให้หลังนั้นทีแรกเป็นสงครามเพื่อรักษาสหภาพ และหลังจากปี ค.ศ. 1863 เมื่อกำลังพลสูญเสียเพิ่มขึ้นและลินคอล์นออก
ประกาศปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (Emancipation Proclamation) เป้าหมายสงครามที่สองกลายเป็นการเลิกทาส สงครามนี้เป็นความขัดแย้งทางทหารที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ทำให้มีทหารเสียชีวิตประมาณ 618,000 คนและพลเรือนอีกเป็นอันมาก
[111]
หลังฝ่ายสหภาพมีชัยในปี 1865 มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐสามครั้ง การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 13 ห้ามความเป็นทาส การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 มอบความเป็นพลเมืองแก่แอฟริกันอเมริกันที่เคยเป็นทาสเกือบสี่ล้านคน
[112] และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 15 รับประกันว่าพวกเขามีสิทธิออกเสียงลงคะแนน สงครามและผลลัพธ์นำสู่การเพิ่มอำนาจของรัฐบาลกลางอย่างมากโดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการและสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้ขณะที่รับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท สงครามและผลนำสู่การเพิ่มอำนาจรัฐบาลกลางอย่างสำคัญ
[113] โดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการใหม่และสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้พร้อมกับรับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท
นักอนุรักษนิยมผิวขาวภาคใต้ซึ่งเรียกตนว่า "ผู้ไถ่" (Redeemer) เข้าควบคุมหลังสิ้นสุดการบูรณะ เมื่อถึงช่วงปี 1890–1910 กฎหมายจิม โครว์พรากสิทธิออกเสียงลงคะแนนคนผิวดำส่วนใหญ่และคนขาวยากจนบางส่วน คนดำเผชิญการแบ่งแยกทางเชื้อชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้
[114] ชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติบางครั้งเผชิญ
การลงประชาทัณฑ์[115]
การปรับให้เป็นอุตสาหกรรม
[แก้]
เกาะเอลลิสใน
นครนิวยอร์กเป็นประตูสำคัญสำหรับการเข้าเมืองของชาวยุโรป
[116]ในภาคเหนือ การขยายตัวของเมืองและการหลั่งไหลของคนเข้าเมืองจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้มีแรงงานเหลือเฟือสำหรับการปรับประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม
[117] โครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งมีโทรเลขและทางรถไฟข้ามทวีปกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการตั้งถิ่นฐานยิ่งใหญ่ขึ้นและการพัฒนาโอลด์เวสต์อเมริกา
การประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าและ
โทรศัพท์ ต่อมายังมีผลต่อการคมนาคมและชีวิตคนเมือง
[118]
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]
ในปี ค.ศ. 1920 ขบวนการสิทธิสตรีชนะการผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี
[128] คริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 มีความเจริญเติบโตของ
สื่อสารมวลชนประเภท
วิทยุและมีการประดิษฐ์
โทรทัศน์ขึ้นในยุคแรก
[129] ความเฟื่องฟูของทเวนตีร้องคำราม (Roaring Twenties) สิ้นสุดด้วย
เหตุการณ์วอลล์สตรีทตกปี 1929 และการเริ่มต้น
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลัง
แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1932 เขาสนองด้วย
ข้อตกลงใหม่ (New Deal) ซึ่งรวมการสถาปนาระบบหลักประกันสังคม
[130] การย้ายถิ่นใหญ่ของแอฟริกันอเมริกันหลายล้านคนจากภาคใต้ของสหรัฐเริ่มก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและกินเวลาจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1960
[131] ขณะที่ชามฝุ่น (Dust Bowl) กลางคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้ชุมชนกสิกรรมจำนวนมากยากจนและทำให้เกิดการย้ายถิ่นทางตะวันตกระลอกใหม่
[132]
ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐอเมริกา (ซ้าย) และเลขาธิการ
มีฮาอิล กอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเวียต ในการประชุมที่เจนีวาในปี 1985หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐและสหภาพโซเวียตประชันชิงอำนาจระหว่างสมัย
สงครามเย็น ขับเคลื่อนด้วยการแบ่งแยกอุดมการณ์ระหว่าง
ทุนนิยมและ
คอมมิวนิสต์ ทั้งสองครอบงำกิจการทหารของทวีปยุโรป โดยมีสหรัฐและพันธมิตร
นาโต้ฝ่ายหนึ่งและสหภาพโซเวียตและพันธมิตร
สนธิสัญญาวอร์ซออีกฝ่ายหนึ่ง สหรัฐพัฒนานโยบาย
การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาต่อการขยายอิทธิพลตอมมิวนิสต์ ขณะที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่อสู้ใน
สงครามตัวแทนและพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ทรงพลัง และสองประเทศเลี่ยงความขัดแย้งทางทหารโดยตรง
ในประเทศ สหรัฐมีการขยายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและการเติบโตของประชากรและชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว การก่อสร้าง
ระบบทางหลวงระหว่างรัฐแปรสภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในเวลาหลายทศวรรษถัดมา คนหลายล้านคนผละไร่นาและนครชั้นใน (inner city) สู่การพัฒนาเคหะ
ชานเมืองขนาดใหญ่
[142][143] ในปี ค.ศ. 1959 ฮาวายกลายเป็นรัฐที่ 50 และรัฐล่าสุดของสหรัฐที่เพิ่มเข้าประเทศ
[144]ขบวนการสิทธิพลเมืองที่เติบโตขึ้นใช้สันติวิธีเผชิญกับการแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติ โดยมี
มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์เป็นผู้นำคนสำคัญและหัวโขน คำวินิจฉัยของศาลและกฎหมายประกอบกันลงเอยด้วยรัฐบัญญัติสิทธิพลเมืองปี ค.ศ. 1968 ซึ่งมุ่งยุติการเลือกปฏิบัติทางเพศ
[145][146][147] ขณะเดียวกัน ขบวนการวัฒนธรรมต่อต้านเติบโตขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากการค้านสงครามเวียดนาม ชาตินิยมผิวดำและการปฏิวัติทางเพศ
การเปิดฉาก "สงครามต่อความยากจน" ขยายการให้สิทธิ์และการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ซึ่งรวมการสร้างเมดิแคร์และเมดิเคด สองโครงการซึ่งให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพต่อผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ตามลำดับ และโครงการสแตมป์อาหาร (Food Stamp Program) และช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็กพึ่งพิง (Aid to Families with Dependent Children)
[148]
คริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เริ่มมีการชะงักทางเศรษฐกิจ หลังประธานาธิบดี
โรนัลด์ เรแกนได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1980 เขาตอบโต้ด้วยการปฏิรูปเน้นตลาดเสรี หลังการล่มสลายของ
การผ่อนคลายความตึงเครียด เขาเลิก "การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา" และริเริ่มยุทธศาสตร์ "ม้วนกลับ" ที่ก้าวร้าวขึ้นต่อสหภาพโซเวียต
[149][150][151][152][153] หลังมีการเพิ่มขึ้นของแรงงานสตรีในทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ในปี ค.ศ. 1985 สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่มีงานทำ
[154]
ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 มีการ "ผ่อนคลาย" ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต และการล่มลายในปี ค.ศ. 1991 ยุติสงครามเย็นในที่สุด เหตุนี้นำมาซึ่งภาวะขั้วเดียว
[155] โดยสหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจครอบงำของโลกโดยไร้ผู้ต่อกร มโนทัศน์สันติภาพอเมริกา (Pax Americana) ซึ่งปรากฏในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นคำเรียกระเบียบโลกใหม่ยุคหลังสงครามเย็นที่ได้รับความนิยมกว้างขวาง
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
[แก้]
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด,
อินเทอร์เน็ตซึ่งกำเนิดในเครือข่ายกลาโหมสหรัฐลามไปเครือข่ายวิชาการระหว่างประเทศ และสู่สาธารณะในปี 1990 มีผลใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมโลก
[157]
เนื่องจาก
ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม นโยบายการเงินแบบเสถียรภาพภายใต้
แอลัน กรีนสแพนและการลดรายจ่ายสวัสดิการสังคม คริสต์ทศวรรษ 1990 มีการขยายทางเศรษฐกิจใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐสมัยใหม่ซึ่งสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2001
[158] เริ่มตั้งแต่ปี 1994 สหรัฐเข้าสู่
ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เชื่อมประชากร 450 ล้านคนซึ่งผลิตสินค้าและบริการมูลค่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายของความตกลงคือเพื่อกำจัดอุปสรรคการค้าและการลงทุนในสหรัฐ ประเทศแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 การค้าในหมู่ไตรภาคีเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ NAFTA มีผลใช้บังคับ
[159]
นโยบายของรัฐบาลซึ่งออกแบบเพื่อส่งเสริมการเคหะที่มีราคาไม่แพง
[166] ความล้มเหลวกว้างขวางของบรรษัทภิบาลและธรรมาภิบาลในการกำกับดูแล (regulatory governance)
[167] และอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของระบบธนาคารกลาง
[168] นำสู่ฟองสบู่การเคหะกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 จนลงเอยด้วย
วิกฤตการณ์การเงินปี 2008เป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนับแต่
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[169] บารัก โอบามา ประธานาธิบดีแอฟริกันอเมริกันและหลายเชื้อชาติคนแรก ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2008 ท่ามกลางวิกฤต
[170] และต่อมาผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและรัฐบัญญัติการปฏิรูปวอลล์สตรีตและคุ้มครองผู้บริโภคด็อดด์-แฟรงก์เพื่อพยายามบรรเทาผลร้าย มาตรการกระตุ้นดังกล่าวอำนวยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
[171] และการว่างงานลดลงโดยสัมพัทธ์
[172] ด็อดด์-แฟรงก์พัฒนาเสถียรภาพทางการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค
[173] แต่มีผลลบต่อการลงทุนธุรกิจและธนาคารขนาดเล็ก
[174]
ในปี ค.ศ. 2010 รัฐบาลโอบามาผ่าน
รัฐบัญญัติการบริบาลที่เสียได้ ซึ่งเป็นการปฏิรูปครั้งที่ครอบคลุมที่สุดต่อระบบสาธารณสุขของประเทศในเกือบห้าทศวรรษ ซึ่งรวมการมอบอำนาจ เงินอุดหนุนและการแลกเปลี่ยนประกัน กฎหมายนี้ทำให้ลดจำนวนและร้อยละของผู้ไม่มีประกันสุขภาพลงอย่างสำคัญ โดยมี 24 ล้านคนครอบคลุมระหว่างปี ค.ศ. 2016
[175]กระนั้น กฎหมายนี้เป็นที่โต้เถียงเนื่องจากผลกระทบต่อราคาสาธารณสุข เบี้ยประกันภัยและสมรรถภาพทางเศรษฐกิจ
[176] แม้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในเดือนมิถุนายน 2009 แต่ผู้ออกเสียงลงคะแนนยังคับข้องใจกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ล่าช้า พรรครีพับลิกันซึ่งคัดค้านนโยบายของโอบามา ได้ควบคุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างถล่มทลายในปี 2010 และควบคุมวุฒิสภาในปี 2014
[177]
สหรัฐเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับสามหรือสี่ของโลกเรียงตามพื้นที่ทั้งหมด (แผ่นดินและผืนน้ำ) รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา และมีอันดับสูงหรือต่ำกว่าจีน การจัดอันดับต่างกันขึ้นอยู่กับว่านับรวมดินแดนที่ประเทศจีนและอินเดียพิพาทหรือไม่ และวัดขนาดทั้งหมดของสหรัฐอย่างไร คือ การคำนวณมีตั้งแต่ 9,522,055.0 กม.2
[185], 9,629,091.5 กม.2
[186] ไปจนถึง 9,833,516.6 กม.2
[187] หากวัดเฉพาะแผ่นดิน สหรัฐจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามรองจากประเทศรัสเซียและจีน สูงกว่าแคนาดา
[188]
เนื่องจากสหรัฐมีขนาดใหญ่และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ จึงมีลักษณะอากาศหลายชนิด ทางตะวันออกของ
เส้นเมอริเดียนที่ 100 ลักษณะอากาศมีตั้งแต่ภาคพื้นทวีปชื้นทางเหนือถึง
กึ่งเขตร้อนชื้นทางใต้
[197] ที่ราบใหญ่ทางตะวันตกของเส้นเมอริเดียนที่ 100 เป็นกึ่งแห้งแล้ง เขาทางตะวันตกส่วนใหญ่มีลักษณะอากาศแบบแอลป์ ลักษณะอากาศเป็นแบบแห้งแล้งในแอ่งใหญ่ ทะเลทรายในภาคตะวันตกเฉียงใต้
เมดิเตอร์เรเนียนในรัฐแคลิฟอร์เนียชายฝั่ง และ
ภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทรในชายฝั่ง
รัฐออริกอนและ
รัฐวอชิงตัน และทางใต้ของรัฐอะแลสกา รัฐอะแลสกาส่วนใหญ่เป็นแบบกึ่งอาร์กติกหรือขั้วโลก รัฐฮาวายและปลายใต้สุดของ
รัฐฟลอริดามีลักษณะอากาศแบบเขตร้อน เช่นเดียวกับดินแดนที่มีประชากรอยู่อาศัยในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิก
[198] อากาศสุดโต่งเป็นเรื่องไม่แปลก ในรัฐที่ติด
อ่าวเม็กซิโกที่มีความเสี่ยงเกิดพายุ
เฮอร์ริเคน และ
ทอร์เนโดส่วนใหญ่ของโลกเกิดในประเทศนี้ โดยเกิดในบริเวณตรอกทอร์เนโดแถบตะวันตกกลางและภาคใต้เป็นหลัก
[199]
อินทรีหัวขาวเป็นนกประจำชาติของสหรัฐตั้งแต่ปี 1782นิเวศวิทยาของสหรัฐนั้นหลากหลายมาก (megadiverse) โดยมี
พืชมีท่อลำเลียงประมาณ 17,000 ชนิดในสหรัฐแผ่นดินใหญ่และรัฐอะแลสกา และพบ
พืชดอกกว่า 1,800 ชนิดในรัฐฮาวาย ซึ่งมีจำนวนน้อยที่พบในแผ่นดินใหญ่
[200] สหรัฐเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 428 ชนิด นก 784 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 311 ชนิดและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 295 ชนิด
[201] มีการพบแมลงประมาณ 91,000 ชนิด
[202] อินทรีหัวขาวเป็นนกประจำชาติและสัตว์ประจำชาติของสหรัฐ และเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเสมอมา
[203]
มีอุทยานแห่งชาติ 58 แห่งและอุทยาน ป่าและพื้นที่ที่ดินในสภาพธรรมชาติอื่นที่รัฐบาลกลางจัดการอีกนับหลายร้อยแห่ง
[204] เบ็ดเสร็จแล้วรัฐบาลเป็นเจ้าของพื้นที่ประมาณ 28% ของประเทศ
[205] ส่วนใหญ่พื้นที่เหล่านี้มีการคุ้มครอง แม้บางส่วนให้เช่าสำหรับการขุดเจาะน้ำมันและแก๊ส การทำเหมือง การทำไม้หรือการเลี้ยงปศุสตว์ ประมาณ 0.86% ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร
[206][207]
ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 การโต้เถียงเรื่องสิ่งแวดล้อมรวมถึงการอภิปรายเรื่องน้ำมันและ
พลังงานนิวเคลียร์การจัดการกับมลพิษทางอากาศและน้ำ ค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจในการพิทักษ์สัตว์ป่า การทำไม้ และ
การทำลายป่า[208][209] และการตอบสนองระหว่างประเทศเกียวกับ
ภาวะโลกร้อน[210][211] มีหน่วยงานของรัฐบาลกลางและรัฐหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ที่โดดเด่นที่สุดคือ
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (Environmental Protection Agency) ที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งของประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1970
[212] ความคิดเรื่องที่ดินในสภาพธรรมชาติได้ก่อรูปการจัดการที่ดินสาธารณะตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 ด้วยบทบัญญัติที่ดินในสภาพธรรมชาติ (Wilderness Act)
[213] รัฐบัญญัติสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ปี ค.ศ. 1973 มีเจตนาคุ้มครองชนิดที่อยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หรือใกล้การสูญพันธุ์และถิ่นที่อยู่ของพวกมัน โดยมีราชการปลาและสัตว์ป่าสหรัฐเป็นผู้ตรวจตรา
[214]
เชื้อชาติอื่น4.8%
กลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดแบ่งตามเทศมณฑล (ปี 2000) ซึ่งมี
ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันมากที่สุดสำนักงานสำมะโนสหรัฐประมาณจำนวนประชากรของประเทศเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2016 ไว้ที่ 323,425,550 คน โดยเพิ่มขึ้น 1 คน (เพิ่มสุทธิ) ทุก 13 วินาที หรือประมาณ 6,646 คนต่อวัน
[4] ประชากรสหรัฐเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าในคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากประมาณ 76 ล้านคนในปี ค.ศ. 1900
[216] สหรัฐเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสามของโลกรองจาก
ประเทศจีนและ
อินเดีย สหรัฐเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลักประเทศเดียวที่มีการทำนายการเพิ่มของประชากรขนาดใหญ่
[217] ในคริสต์ทศวรรษ 1800 หญิงเฉลี่ยมีบุตร 7.04 คน เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1900 จำนวนดังกล่าวลดลงเหลือ 3.56 คน
[218] นับแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา อัตราการเกิดลดต่ำกว่าอัตราทดแทน 2.1 โดยอยู่ที่บุตร 1.86 คนต่อหญิง 1 คนในปี ค.ศ. 2014 การเข้าเมืองที่เกิดต่างด้าวทำให้ประชากรสหรัฐยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยประชากรที่เกิดต่างด้าวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากประมาณ 20 ล้านคนในปี 1990 เป็นกว่า 40 ล้านคนในปี ค.ศ. 2010 โดยเป็นการเพิ่มของประชากรหนึ่งในสาม
[219] ประชากรที่เกิดต่างด้าวถึง 45 ล้านคนในปี 2015
[220]'
สหรัฐมีอัตราเกิด 13 คนต่อ 1,000 คน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก 5 คน
[224] อัตราการเติบโตของประชากรเป็นบวก 0.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ
[225] ในปีงบประมาณ 2012 ผู้เข้าเมืองกว่าหนึ่งล้านคน (ส่วนมากเข้าประเทศผ่านการรวมครอบครัว) ได้รับ
ถิ่นที่อยู่ตามกฎหมาย[226] ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศต้นทางของผู้อยู่อาศัยใหม่อันดับต้น ๆ ตั้งแต่รัฐบัญญัติการเข้าเมืองปี 1965 ประเทศจีน อินเดียและ
ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีผู้เข้าเมืองสูงสุดสี่อันดับทุกปีมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990
[227][228] ในปี 2012 ผู้อยู่อาศัยประมาณ 11.4 ล้านคนเป็นผู้เข้าเมืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย
[229] ในปี 2015 47% ของผู้เข้าเมืองทั้งหมดเป็นฮิสแปนิก 26% เป็นชาวเอเชีย 18% เป็นคนขาว และ 8% เป็นคนดำ ร้อยละของผู้เข้าเมืองซึ่งเป็นชาวเอเชียเพิ่มขึ้นส่วนร้อยละของผู้เป็นฮิสแปนิกลดลง
[220]
ชนกลุ่มน้อย (ซึ่งกรมสำมะโนนิยามว่าหมายถึงทุกคนยกเว้นคนผิวขาวที่มิใช่ฮิสปแปนิกและมิใช่หลายเชื้อชาติ) ประกอบเป็น 37.2% ของประชากรในปี 2012
[215] และกว่า 50% ของเด็กอายุน้อยกว่าหนึ่งปี
[230][231] และคาดว่าจะกลายเป็นฝ่ายข้างมากเมื่อถึงปี 2044
[230]
ตามการสำรวจซึ่งดำเนินการโดยสถาบันวิลเลียมส์ ชาวอเมริกันเก้าล้านคน หรือประมาณ 3.4% ของประชากรผู้ใหญ่ระบุตนเองว่าเป็น
รักร่วมเพศ รักสองเพศหรือ
ข้ามเพศ[232][233]การสำรวจมติมหาชนปี 2016 ยังสรุปว่า 4.1% ของชาวอเมริกันผู้ใหญ่ระบุตนเป็น
แอลจีบีที ร้อยละสูงสุดมาจากเขตโคลัมเบีย (10%) ส่วนรัฐที่ตัวเลขต่ำสุด คือ รัฐนอร์ทดาโกตาที่ 1.7%
[234] การสำรวจในปี 2013 ศูนย์สำหรับการควบคุมและป้องกันโรคพบว่า 96.6% ระบุตนว่าตรงเพศ ส่วน 1.6% ระบุว่าเป็นเกย์หรือเลสเบียน และ 0.7% ระบุว่าเป็นรักสองเพศ
[235]
ในปี ค.ศ. 2010 ประชากรสหรัฐประมาณ 5.2 ล้านคนมีบรรพบุรุษเป็นอเมริกันอินเดียนหรือชนพื้นเมืองอลาสก้า (2.9 ล้านคนที่มีเฉพาะของบรรพบุรุษดังกล่าว) และ 1.2 ล้านคนที่มีบรรพบุรุษชนพื้นเมืองฮาวายหรือชาวเกาะแปซิฟิก (0.5 ล้านคนมีเฉพาะบรรพบุรุษดังกล่าว)
[236] สำมะโนนับกว่า 19 ล้านคนอยู่ใน "เชื้อชาติอื่น" ซึ่ง "ไม่สามารถระบุได้" ว่าอยู่ในหมวดเชื้อชาติอย่างเป็นทางการห้าหมวดในปี 2010 โดยมีกว่า 18.5% (97%) ของจำนวนนี้มีชาติพันธุ์ฮิสแปนิก
[236]
การเติบโตของประชากรฮิสแปนิกและละติโนอเมริกัน (คำดังกล่าวใช้แทนกันได้อย่างเป็นทางการ) เป็นแนวโน้มประชากรศาสตร์ที่สำคัญ สำนักงานสำมะโนระบุชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิก 50.5 ล้านคน
[236] ว่ามี "ชาติพันธุ์" แยกต่างหาก 64% ของฮิสแปนิกอเมริกันมีเชื้อสายเม็กซิโก
[237] ระหว่างปี 2000 ถึง 2010 ประชากรฮิสแปนิกของประเทศเพิ่ม 43% ขณะที่ประชากรที่มิใช่ฮิสแปนิกเพิ่มเพียง 4.9%
[238] การเติบโตส่วนมากมาจากการเข้าเมือง ในปี 2007 12.7% ของประชากรสหรัฐเกิดต่างด้าว ขณะที่ 54% ในจำนวนนี้เกิดในละตินอเมริกา
[239]
ชาวอเมริกันประมาณ 82% อาศัยอยู่ในเขตเมือง (รวมชานเมือง)
[187] ในจำนวนนี้ประมาณกึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในนครที่มีประชากรกว่า 50,000 คน
[240] สหรัฐมีหลายกลุ่มนครที่เรียก เมกะรีจัน (megaregion) เมกะรีจันขนาดใหญ่สุดคือ อภิมหานครเกรตเลกส์ (Great Lakes Megalopolis) ตามด้วยอภิมหานครตะวันออกเฉียงเหนือและแคลิฟอร์เนียใต้ ในปี 2008 มีเทศบาล 273 เทศบาลที่มีประชากรกว่า 100,000 คน มีเก้านครที่มีผู้อยู่อาศัยกว่าหนึ่งล้านคน และสี่นครโลกที่มีประชากรกว่าสองล้านคน (
นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ชิคาโกและ
ฮุสตัน)
[241] มี 52 พื้นที่มหานครที่มีประชากรกว่าหนึ่งล้านคน
[242] พื้นที่มหานครที่เติบโตเร็วที่สุด 47 จาก 50 พื้นที่อยู่ในภาคตะวันตกหรือภาคใต้
[243] พื้นที่มหานครแซนเบอร์นาร์ดีโน
แดลลัส ฮุสตัน
แอตแลนตาและ
ฟีนิกซ์ล้วนเติบโตกว่าหนึ่งล้านคนระหว่างปี 2000 ถึง 2008
[242]
ศูนย์กลางประชากรอันดับต้น
ตามการประมาณประชากรปี 2015 จากสำนักสำมะโนสหรัฐ
[245]ภาษา
[แก้]ภาษาที่คนกว่า 1 ล้านคนพูดที่บ้านในสหรัฐ (ปี ค.ศ. 2010)
[246][fn 6]ภาษาร้อยละของ
ประชากรจำนวน
ผู้พูดจำนวนผู้พูด
ภาษาอังกฤษ
ได้ดีหรือดีมาก
อังกฤษ (เท่านั้น)80%233,780,338ทุกคน
รวมทุกภาษา
ที่มิใช่อังกฤษ20%57,048,61743,659,301
เยอรมัน0.4%1,107,8691,057,836
ภาษาอังกฤษ (
ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) เป็นภาษาประจำชาติ
โดยพฤตินัย แม้ไม่มีภาษาราชการในระดับสหพันธรัฐ แต่กฎหมายบางฉบับ เช่น ข้อกำหนดการแปลงสัญชาติของสหรัฐ วางมาตรฐานภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 2010 ประมาณ 230 ล้านคนหรือ 80% ของประชากรอายุตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป พูดภาษาอังกฤษที่บ้านเท่านั้น
ภาษาสเปน ซึ่งมีประชากร 12% พูดที่บ้าน เป็นภาษาที่พบมากที่สุดอันดับสองและเป็นภาษาที่สองที่สอนกันแพร่หลายที่สุด
[247][248] ชาวอเมริกันบางส่วนสนับสนุนให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของประเทศ เนื่องจากเป็นภาษาราชการแล้วใน 32 รัฐ
[249]
ทั้ง
ภาษาฮาวายและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการใน
รัฐฮาวายตามกฎหมายของรัฐ
[250] แม้ไม่มีภาษาราชการ แต่
รัฐนิวเม็กซิโกมีกฎหมายที่กำหนดการใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสเปน เช่นเดียวกับที่
รัฐลุยเซียนากำหนดให้ใช้ภาษาอังกฤษและ
ฝรั่งเศส[251] รัฐอื่น เช่น
รัฐแคลิฟอร์เนียมีคำสั่งศาลสูงให้พิมพ์เผยแพร่เอกสารราชการบางชนิดเป็นภาษาสเปน รวมทั้งแบบของศาล
[252] หลายเขตอำนาจที่มีผู้ไม่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากมีการผลิตเอกสารรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศการเลือกตั้ง ในภาษาที่มีผู้พูดแพร่หลายในเขตอำนาจเหล่านั้น
ภาษาต่างด้าวที่สอนกันกว้างขวางที่สุดในทุกระดับในสหรัฐ (ในแง่ของจำนวนผู้ลงทะเบียน) ได้แก่ ภาษาสเปน (ผู้เรียนประมาณ 7.2 ล้านคน) ฝรั่งเศส (1.5 ล้านคน) และเยอรมัน (500,000 คน) ภาษาที่มีสอนแพร่หลายอื่น (โดยมีผู้เรียน 100,000 ถึง 250,000 คน) มี
ภาษาละติน ญี่ปุ่น ภาษาใบ้อเมริกัน ภาษาอิตาลีและ
จีน[257][258] 18% ของชาวอเมริกันอ้างว่าตนพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานอกจากภาษาอังกฤษ
[259]
ศาสนา
[แก้]ศาสนาที่นับถือในสหรัฐ (ปี ค.ศ. 2014)
[260]ศาสนา% ของประชากรสหรัฐ
คริสต์70.6
คริสต์อื่น0.4
ศาสนาอื่น1.8
ไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง15.8
ไม่ทราบหรือปฏิเสธไม่ตอบ0.6 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งแรกรับประกันการนับถือศาสนาอย่างเสรีและห้ามรัฐสภาผ่านกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันศาสนา
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในสหรัฐ ในการสำรวจปี ค.ศ. 2013 ชาวอเมริกัน 56% กล่าวว่า ศาสนามี "บทบาทสำคัญมากในชีวิตของพวกเขา" ซึ่งเป็นตัวเลขสูงกว่าของประเทศที่ร่ำรวยอื่นมาก
[261] ในการสำรวจมติมหาชนปี ค.ศ. 2009 ชาวอเมริกัน 42% กล่าวว่า พวกเขาเข้าโบสถ์ทุกสัปดาห์หรือเกือบทุกสัปดาห์ ตัวเลขดังกล่าวแปรผันตั้งแต่ 23% ใน
รัฐเวอร์มอนต์ จนถึงสูง 63% ในรัฐมิสซิสซิปปี
[262] ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยและผู้ประพันธ์เรียกสหรัฐว่าเป็น "ชาติโปรเตสแตนต์" หรือ "ก่อตั้งบนหลักการโปรเตสแตนต์"
[263][264][265][266] โดยเน้นมรดก
ลัทธิคาลวินเป็นพิเศษ
[267][268][269]
สหรัฐเริ่มเคร่งศาสนาน้อยลงเช่นเดียวกับประเทศตะวันตกอื่น
การไม่มีศาสนาเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวอเมริกันอายุต่ำกว่า 30 ปี
[270] การสำรวจแสดงว่า ความเชื่อมั่นในศาสนาของชาวอเมริกันโดยรวมเสื่อมลงมาตั้งแต่กลางถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980
[271] โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกันอายุน้อยที่ไม่มีศาสนาเพิ่มขึ้น
[272] การศึกษาในปี 2012 บ่งชี้ว่าสัดส่วนประชากรสหรัฐที่นับถือโปรเตสแตนต์ลดลงเหลือ 48% ทำให้ยุติสถานภาพเป็นหมวดศาสนาของฝ่ายข้างมากเป็นครั้งแรก
[273][274] ชาวอเมริกันที่ไม่มีศาสนามีบุตร 1.7 คนเทียบกับคริสต์ศาสนิกชน 2.2 คน ผู้ไม่นับถือศาสนายังมีแนวโน้มสมรสน้อยกว่าคริสต์ศาสนิกชน 37% ต่อ 52%
[275]
จากการสำรวจปี ค.ศ. 2014 ผู้ใหญ่ 70.6% ระบุตัวเองเป็นคริสต์ศาสนิกชน
[276] ลดลงจาก 73% ในปี 2012
[277] โปรเตสแตนต์นิกายต่าง ๆ คิดเป็น 46.5% ในขณะที่นิกายโรมันคาทอลิกคิดเป็น 20.8% เป็นนิกายเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด
[278] ศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาคริสต์ที่รายงานทั้งหมดในปี 2014 มี 5.9%
[278] ศาสนาอื่น ๆ ได้แก่
ศาสนายูดาห์ (1.9%),
ศาสนาอิสลาม (0.9%),
ศาสนาฮินดู, (0.7%)
ศาสนาพุทธ (0.7%)
[278] การสำรวจยังรายงานว่าชาวอเมริกัน 22.8% ระบุตัวเองว่า
อไญยนิยม,
อเทวนิยมหรือไม่มีศาสนา เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 1990
[278][279][280] นอกจากนี้ยังมีชุมชน
ยูนิทาเรียนยูนิเวอร์แซลิสต์,
ศาสนาบาไฮ,
ศาสนาซิกข์,
ศาสนาเชน,
ลัทธิชินโต,
ลัทธิขงจื๊อ,
ลัทธิเต๋า, ดรูอิด, พื้นเมืองอเมริกัน, วิคะ, มนุษยนิยม, และ
เทวัสนิยม[281]
โปรเตสแตนต์เป็นกลุ่มศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีคริสตจักร
แบปทิสต์รวมกันเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุด และสหคริสตจักรแบปทิสต์ใต้ (Southern Baptist Convention) เป็นนิกายโปรเตสแตนต์เดี่ยวที่ใหญ่สุด ชาวอเมริกันประมาณ 26% ระบุตนเป็นโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัล (Evangelical Protestant) ส่วน 15% เป็นสายหลัก (Mainline) และ 7% เป็นคริสตจักรดำดั้งเดิม โรมันคาทอลิกในสหรัฐมีเหง้าในการทำให้ทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคมของสเปนและฝรั่งเศส และต่อมาขยายตัวเนื่องจากการเข้าเมืองของชาวไอริช อิตาลี โปแลนด์ เยอรมันและสเปน
รัฐโรดไอแลนด์มีร้อยละของคาทอลิกสูงสุดโดยมี 40% ของประชากร
[282] นิกาย
ลูเทอแรนในสหรัฐกำเนิดจากการเข้าเมืองจากยุโรปเหนือและประเทศเยอรมนี รัฐนอร์ทและเซาท์ดาโคตาเป็นเพียงสองรัฐที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นลูเทอร์แรนมากกว่า ผู้เข้าเมืองชาวสกอตและสกอตอัลสเตอร์เผยแผ่นิกาย
เพรสไบทีเรียนในทวีปอเมริกาเหนือ แม้นิกายดังกล่าวได้เผยแผ่ทั่วสหรัฐ แต่กระจุกอยู่ในชายฝั่งตะวันออกเป็นหลัก มีการก่อตั้งกลุ่มผู้นับถือศาสนาปฏิรูปดัตช์ครั้งแรกในนิวอัมสเตอร์ดัม (นครนิวยอร์ก) ก่อนเผยแผ่ไปทางทิศตะวันตก รัฐยูทาห์เป็นรัฐเดียวที่มอรมอนเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ ฉนวนมอรมอนยังขยายไปถึงบางส่วนของรัฐไอดาโฮ เนวาดาและไวโอมิง
[283]
เข็มขัดไบเบิล (Bible Belt) เป็นภาษาปากใช้เรียกภูมิภาคในภาคใต้ของสหรัฐซึ่งโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัลซึ่งเป็นอนุรักษนิยมทางสังคมเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและอัตราการเข้าโบสถ์คริสต์ในนิกายต่าง ๆ ปกติสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ในทางกลับกัน ศาสนามีบทบาทสำคัญน้อยใน
รัฐนิวอิงแลนด์และภาคตะวันตกของสหรัฐ
[262]
โครงสร้างครอบครัว
[แก้]ในปี 2007 ชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป 58% สมรส 6% เป็นม่าย 10% หย่าร้าง และ 25% ไม่เคยสมรส
[284] ขณะนี้หญิงส่วนใหญ่ทำงานนอกบ้าน และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีมากกว่าชาย
[285]
อัตราการตั้งครรภ์วัยรุ่นสหรัฐอยู่ที่ 26.5 คนต่อ 1,000 คน อัตราดังกล่าวลดลง 57% จากปี 1991
[286] ในปี 2013 อัตราเกิดวัยรุ่นสูงสุดอยู่ใน
รัฐแอลาบามา และต่ำสุดใน
รัฐไวโอมิง[286][287] การทำแท้งชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ เนื่องจากคดีระหว่างโรและเวด (
Roe v. Wade) คำวินิจฉัยบรรทัดฐานในปี 1973 ของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐ แม้อัตราการทำแท้งจะลดลง แต่อัตราทำแท้ง 241 ต่อ 1,000 การคลอดมีชีพและอัตราการทำแท้ง 15 คนต่อ 1,000 คนในหญิงอายุระหว่าง 15–44 ปีก็ยังสูงกว่าอัตราของชาติตะวันตกส่วนใหญ่
[288]ในปี 2013 อายุเฉลี่ยของการคลอดครั้งแรกอยู่ที่ 26 ปีและ 40.6% ของการเกิดเกิดกับหญิงไม่สมรส
[289]
มีการประมาณอัตราเจริญพันธุ์รวมของปี 2013 ไว้ที่ 1.86 การเกิดต่อหญิง 1 คน
[290] การรับบุตรบุญธรรมในสหรัฐมีทั่วไปและค่อนข้างง่ายจากมุมมองกฎหมายเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกอื่น
[291] ในปี 2001 ด้วยการรับบุตรบุญธรรมกว่า 127,000 คน สหรัฐคิดเป็นเกืบอกึ่งหนึ่งของจำนวนการรับบุตรบุญธรรมทั้งหมดทั่วโลก
[292] การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมายทั่วประเทศและคู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมาย พหุสามีภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ
[293]
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด,
ในระบบสหพันธรัฐนิยมอเมริกา ปกติพลเมืองอยู่ใต้บังคับแห่งการปกครองสามระดับ คือ สหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น หน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นปกติแบ่งกันระหว่างรัฐบาล
เทศมณฑล (county) และ
องค์การเทศบาล ในเกือบทุกกรณี ข้าราชการฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าของพลเมืองแบ่งตามเขต ไม่มี
การมีผู้แทนตามสัดส่วนในระดับสหพันธรัฐ และพบน้อยในระดับล่างกว่า
[298]
รัฐบาลกลางประกอบด้วยสามอำนาจ ได้แก่
สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกออกเสียงลงคะแนน 435 คน แต่ละคนเป็นผู้แทนของเขตรัฐสภาเป็นสมัยสองปี ที่นั่งของสภาผู้แทนราษฎรมีการจัดสัดส่วนตามรัฐแบ่งตามประชากรทุกสิบปี ในสำมะโนปี 2010 เจ็ดรัฐมีผู้แทนขั้นต่ำหนึ่งคน ส่วนรัฐแคลิฟอร์เนนีย รัฐที่มีประชากรมากที่สุด มี 53 คน
[303]
วุฒิสภามีสมาชิก 100 คน โดยแต่ละรัฐมีสมาชิกวุฒิสภาสองคน ได้รับเลือกตั้งโดยไม่แบ่งเขตมีวาระละ 6 ปี ตำแหน่งวุฒิสภาหนึ่งในสามมีการเลือกตั้งปีเว้นปี ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี และอาจได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกินสองครั้ง ประธานาธิบดี
มิได้เลือกตั้งจากคะแนนเสียงโดยตรง แต่มาจากระบบ
คณะผู้เลือกตั้งทางอ้อมซึ่งกำหนดคะแนนเสียงที่จัดสัดส่วนให้แก่รัฐและเขตโคลัมเบีย ศาลสูงสุด ซึ่งมี
ประธานศาลสูงสุดแห่งสหรัฐเป็นหัวหน้า มีสมาชิกเก้าคน ซึ่งดำรงตำแหน่งตลอดชีพ
[304]
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพใน
นครนิวยอร์กเป็นสัญลักษณ์ของทั้งสหรัฐและอุดมการณ์เสรีภาพ ประชาธิปไตยและโอกาส
[305]รัฐบาลรัฐมีโครงสร้างคล้าย ๆ กัน แต่รัฐเนแบรสกามีสภานิติบัญญัติที่ใช้
ระบบสภาเดียวต่างจากรัฐอื่น
[306] ผู้ว่าการแต่ละรัฐ (หัวหน้าฝ่ายบริหาร) มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ผู้พิพากาษาและคณะรัฐมนตรีของบางรัฐมาจากการแต่งตั้งของผู้ว่าการของรัฐนั้น ๆ แต่บางรัฐมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ข้อความดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญกำหนดโครงสร้างและความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางและความสัมพันธ์กับรัฐหนึ่ง ๆ มาตรา 1 คุ้มครองสิทธิ
หมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาล รัฐธรรมนูญมีการแก้ไขเพิ่มเติม 27 ครั้ง
[307] การแก้ไขเพิ่มเติมสิบครั้งแรก ซึ่งรวมเรียว่า รัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ก่อเป็นรากฐานกลางของสิทธิปัจเจกของชาวอเมริกัน กฎหมายและวิธีดำเนินการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้
การพิจารณาทบทวนโดยศาลและกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยว่าละเมิดรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ศาลสูงสุดสถาปนาหลักการพิจารณาทบทวนโดยศาล แม้มิได้กล่าวไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ในคดีระหว่างมาร์บูรีกับเมดิสัน (
Marbury v. Madison) ปี 1803
[308]
แผนที่เขตเศรษฐกิจ
เขตเศรษฐกิจจำเพาะของสหรัฐ
[309] แสดงรัฐ ดินแดนและการครอบครองสหรัฐเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐประกอบด้วย 50 รัฐ เขตสหพันธรัฐ ห้าดินแดนและเกาะที่ไม่มีคนอยู่อาศัยสิบเอ็ดเกาะ
[310] รัฐและดินแดนเป็นเขตการปกครองหลักในประเทศ แบ่งเป็นเขตย่อยเทศมณฑลและนครอิสระ เขตโคลัมเบียเป็นเขตสหพันธรัฐซึ่งมีเมืองหลวงของสหรัฐ คือ กรุง
วอชิงตัน ดี.ซี. รัฐและเขตโคลัมเบียเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ละรัฐมีผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีเทียบเท่ากับผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในรัฐสภา เขตโคลัมเบียมีสามคน
[311]
เขตรัฐสภามีการกำหนดจำนวนผู้แทนตามส่วนของพลเมืองใหม่ของรัฐหลังสำมะโนประชากรทุกสิบปี แล้วแต่ละรัฐเป็นเขตสมาชิกหนึ่งให้เป็นไปตามการจัดสัดส่วนสำมะโน มีจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 คน และสมาชิกรัฐสภาผู้แทนเป็นตัวแทนของเขตโคลัมเบียและห้าดินแดนหลักของสหรัฐ
[312]
สหรัฐยังมีอำนาจอธิปไตยชนเผ่า (tribal sovereignty) ของชาติ
อเมริกันอินเดียนในขอบเขตจำกัด เช่นเดียวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐ อเมริกันอินเดียนเป็นพลเมืองสหรัฐและดินแดนชนเผ่าอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐสภาสหรัฐและศาลสหพันธรัฐ เช่นเดียวกับรัฐ ชนเผ่ามีอัตตาณัติสูง แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกาศสงคราม มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชองตนเอง หรือพิมพ์และออกเงินตรา
[313]
พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง
[แก้]
ประธานาธิบดีคนที่ 45
ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2017
ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2017สหรัฐใช้ระบบสองพรรคมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์
[314] สำหรับตำแหน่งเลือกตั้งแทบทุกระดับ การเลือกตั้งผู้สมัครรอบแรกที่รัฐจัดการเลือกผู้ได้รับเสนอชื่อของพรรคการเมืองหลักสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในเวลาต่อมา นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 1856 พรรคการเมืองหลักได้แก่
พรรคเดโมแครตซึ่งก่อตั้งในปี 1824 และ
พรรคริพับลิกันซึ่งก่อตั้งในปี 1854 นับแต่สงครามกลางเมือง มีผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีจากพรรคที่สามเพียงคนเดียว คือ อดีตประธานาธิบดี
ธีโอดอร์ โรสเวลต์ ซึ่งมาจากพรรคก้าวหน้าในปี 1912 ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านระบบคณะผู้เลือกตั้ง
[315]
ภายใน
วัฒนธรรมการเมืองอเมริกา พรรครีพับลิกันฝ่ายกลางขวาถือว่าเป็น "อนุรักษนิยม" และพรรคเดโมแครตฝ่ายกลางซ้ายถือว่าเป็น "เสรีนิยม"
[316][317] รัฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชายฝั่งตะวันตกและรัฐเกรตเลกส์บางรัฐรู้จักกันในนาม "รัฐน้ำเงิน" ค่อนข้างเป็นเสรีนิยม "รัฐแดง" ในภาคใต้และบางส่วนของเกรตเพลนส์และเทือกเขาร็อกกีค่อนข้างเป็นอนุรักษนิยม
ในรัฐสภาสหรัฐสมัยที่ 115 พรรครีพับลิกันครองทั้ง
สภาผู้แทนราษฎรและ
วุฒิสภา ปัจจุบันวุฒิสภามีรีพับลิกัน 52 คน เดโมแครต 46 คน และอิสระ 2 คนซึ่งประชุมลับกับเดโมแครต สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยรีพับลิกัน 241 คนและเดโมแครต 194 คน
[321] ในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ มีรีพับลิกัน 33 คน เดโมแครต 16 คนและอิสระ 1 คน
[322] ในบรรดานายกเทศมนตรี ดี.ซี. และผู้ว่าการดินแดน 5 คน มีรีพับลิกัน 2 คน เดโมแครต 1 คน ก้าวหน้าใหม่ 1 คนและอิสระ 2 คน
[323]
สหรัฐใช้อำนาจและความรับผิดชอบด้านการป้องกันประเทศระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์สำหรับสามรัฐเอกราชผ่านความตกลงระหว่างประเทศสมาคมอิสระ (Compact of Free Association) กับ
ไมโครนีเซีย หมู่เกาะมาร์แชลล์และ
ปาเลา ประเทศเหล่านี้เป็นชาติเกาะแปซิฟิก ซึ่งเคยเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีหมู่เกาะแปซิฟิก (Trust Territory of the Pacific Islands) ที่สหรัฐบริหารหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งได้รับเอกราชในเวลาต่อมา
[336]
หนี้สินรัฐบาลกลางสหรัฐที่ภาครัฐบาลถือครองเป็นร้อยละของจีดีพี ตั้งแต่ปี 1790 ถึง 2013
[337]ภาษีในสหรัฐมีการจัดเก็บในระดับรัฐบาลสหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น ภาษีเหล่านี้รวมถึงภาษีรายได้, หักจากค่าจ้าง, ทรัพย์สิน, การขาย, นำเข้า, มรดกและการให้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในปี 2010 ภาษีที่รัฐบาลกลาง รัฐ และเทศบาลจัดเก็บได้คิดเป็น 24.8% ของ
จีดีพี[338] ช่วงปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางจัดเก็บรายได้จากภาษีประมาณ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ, เพิ่มขึ้น 147,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6% เมื่อเทียบกับรายได้ 2.30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของปีงบประมาณ 2011 หมวดหมู่หลักได้แก่ ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา (1,132,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 47%) ภาษีหลักประกันสังคม/การประกันสังคม (845,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 35%) และภาษีนิติบุคคล (242,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 10%)
[339] ตามการประมาณของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา
[340] ภายใต้กฎหมายภาษีปี 2013 ผู้มีรายได้สูงสุด 1% จะจ่ายอัตราภาษีเฉลี่ยสูงสุดนับแต่ปี 1979 ส่วนกลุ่มรายได้อื่นยังอยู่ในอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
[341]
โดยทั่วไปการเก็บภาษีอากรของสหรัฐเป็นแบบก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีรายได้ของรัฐบาลกลาง และเป็นแบบก้าวหน้ามากที่สุดในประเทศพัฒนาแล้ว
[342][343][344][345][346] ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่ายภาษีของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่
[347] และเกือบครึ่งหนึ่งของภาษีทั้งหมด
[348] ภาษีหักจากค่าจ้างสำหรับหลักประกันสังคมเป็นภาษีถดถอยแนวราบ โดยไม่มีการเก็บภาษีกับรายได้เกิน 118,500 ดอลลาร์สหรัฐ (สำหรับปี 2015 และ 2016) และไม่เก็บภาษีเลยสำหรับผู้ไม่มีรายได้จากหลักทรัพย์และกำไรส่วนทุน
[349][350] การให้เหตุผลเดิมสำหรับสภาพถดถอยของภาษีหักจากค่าจ้าง คือ โครงการการให้สิทธิ์ไม่ถูกมองเป็นการโอนสวัสดิการ
[351][352] ทว่า ตามข้อมูลของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา ผลลัพธ์สุทธิของหลักประกันสังคม คือ อัตราประโยชน์ต่อภาษีมีพิสัยตั้งแต่ประมาณ 70% สำหรับ 20% ของผู้มีรายได้สูงสุดถึงประมาณ 170% สำหรับ 20% ของผู้มีรายได้ต่ำสุด ทำให้ระบบเป็นแบบก้าวหน้า
[353]
ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่าย 51.8% ของภาษีรัฐบาลกลางทั้งหมดในปี 2009 และผู้มีรายได้สูงสุด 1% ซึ่งมีรายได้ประชาชาติก่อนเสียภาษี 13.4% จ่ายภาษีรัฐบาลกลาง 22.3%
[345]ในปี 2013 ศูนย์นโยบายภาษีพยากรณ์ว่าอัตราภาษียังผลของรัฐบาลกลาง 35.5% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 1%, 29.7% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 20%, 13.8% สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางและ −2.7% สำหรับผู้มีรายได้ต่ำสุด
[354][355] ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นประเด็นกรณีโต้เถียงที่กำลังดำเนินอยู่มาหลายทศวรรษ
[343][356] ภาษีรัฐและท้องถิ่นแตกต่างกันมาก แต่โดยทั่วไปเป็นแบบถดถอยน้อยกว่าภาษีรัฐบาลกลางเพราะการจัดเก็บภาษีนั้นอาศัยภาษีการขายและทรัพย์สอนแบบถดถอยซึ่งให้กระแสรายได้ที่ลบเลือนได้น้อยกว่า แม้รวมภาษีเหล่านี้ด้วยแล้ว การจัดเก็บภาษีโดยรวมก็ยังเป็นแบบก้าวหน้า
[343][357]
ระหว่างปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางใชังบประมาณหรือเกณฑ์เงินสด 3.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.7 % เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2011 ที่ใช้ 3.60 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รายจ่ายหมวดหลักในปีงบประมาณ 2012 ได้แก่ เมดิแคร์และเมดิเคด (802,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 23% ของรายจ่าย), หลักประกันสังคม (768,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 22%), กระทรวงกลาโหม (670,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 19%) ดุลยพินิจนอกเหนือจากการกลาโหม (615,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 17%) รายจ่ายบังคับอื่น (461,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 13%) และดอกเบี้ย (223,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 6%)
[339]
กลุ่มโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน
คิตตีฮอว์ก,
โรนัลด์ เรแกน และ
อับราฮัม ลินคอล์น กับเครื่องบินจากเหล่านาวิกโยธิน, กองทัพเรือและกองทัพอากาศราชการทหารเป็นแบบสมัครใจ แม้อาจมีการเกณฑ์ทหารในยามสงครามผ่านระบบราชการคัดเลือก (Selective Service System)
[361] กำลังอเมริกาสามารถวางกำลังได้อย่างรวดเร็วโดยกลุ่มอากาศยานขนส่งขนาดใหญ่ของกองทัพอากาศ
เรือบรรทุกอากาศยานประจำการ 11 ลำของกองทัพเรือ และหน่วยรบนอกประเทศนาวิกโยธินในทะเลกับกองเรือแอตแลนติกและแปซิฟิกของกองทัพเรือ กองทัพมีฐานทัพและศูนย์ 865 แห่งนอกประเทศ
[362] และมีกำลังพลประจำการกว่า 100 นายใน 25 ประเทศ
[363]
งบประมาณทางทหารของสหรัฐในปี 2011 อยู่ที่ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 41% เป็นรายจ่ายทางทหารทั่วโลกและเท่ากับรายจ่ายทางทหารของ 14 ชาติที่มีรายจ่ายมากรองลงมารวมกัน อัตรางบประมาณทางทหารอยู่ที่ 4.7% ของจีดีพี ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดอันดับสองในบรรดาประเทศที่มีรายจ่ายทางทหารสูงสุด 15 ประเทศ รองจาก
ประเทศซาอุดีอาระเบีย[364] รายจ่ายกลาโหมของสหรัฐเมื่อเทียบเป็นร้อยละของจีดีพีจัดเป็นอันดับที่ 23 ของโลกในปี 2012 ตามข้อมูลของซีไอเอ
[365] สัดส่วนรายจ่ายกลาโหมของสหรัฐโดยทั่วไปลดลงในทศวรรษหลัง จากช่วงสงครามเย็นที่สูงสุดที่ 14.2% ของจีดีพีในปี 1953 และ 69.5% ของรายจ่ายรัฐบาลกลางใน 1954 ลงมาที่ 4.7 % ของจีดีพี และ 18.8 % ของรายจ่ายรัฐบาลกลางในปี 2011
[366]
ฐานงบประมาณกระทรวงกลาโหมที่เสนอไว้สำหรับปี 2012 มูลค่า 553,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2011 หรือเพิ่ม 118,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการทัพในประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน
[367] ทหารอเมริกันชุดสุดท้ายที่รับราชการในประเทศอิรักออกจากประเทศในเดือนธันวาคม 2011
[368]ข้าราชการทหาร 4,484 นายถูกฆ่าระหว่าง
สงครามอิรัก[369] มีทหารสหรัฐประมาณ 90,000 นายกำลังรับราชการอยู่ในประเทศอัฟกานิสถานในเดือนเมษายน 2012
[370] ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2013 มีทหารเสียชีวิต 2,285 นายใน
สงครามในอัฟกานิสถาน[371]
การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบของกรมตำรวจท้องถิ่นเป็นหลัก
[372]การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบหลักของตำรวจท้องที่ และหน่วยงานของนายอำเภอ (sheriff) โดยมีตำรวจของรัฐบริการกว้างกว่า กรมตำรวจนครนิวยอร์กเป็นตำรวจท้องที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หน่วยงานของรัฐบาลกลาง เช่น
สำนักงานสอบสวนกลาง(เอฟบีไอ) และราชการพนักงานศาลแขวง (Marshals Service) ของสหรัฐมีหน้าที่ชำนัญพิเศษ ซึ่งรวมการพิทักษ์สิทธิพลเมือง ความมั่นคงของชาติและบังคับใช้คำวินิจฉัยของศาลกลางและกฎหมายกลางของสหรัฐ
[373] ในระดับรัฐบาลกลางและในเกือบทุกรัฐ ระบบกฎหมายใช้แบบ
คอมมอนลอว์ ศาลของรัฐตัดสินคดีอาญาส่วนใหญ่ ศาลกลางรับผิดชอบอาชญากรรมที่กำหนดบางอย่างตลอดจนคดีอุทธรณ์จากศาลอาญาของรัฐ การต่อรองคำรับสารภาพในสหรัฐพบดาษดื่น คดีอาญาส่วนใหญ่ในประเทศระงับด้วยการต่อรองคำรับสารภาพมิใช่การพิจารณาของคณะลูกขุน
[374]
ในปี ค.ศ. 2015 มีการฆ่าคน 15,696 ครั้ง ซึ่งมากกว่าปี ค.ศ. 2014 จำนวน 1,532 ครั้ง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ปี ค.ศ. 1971
[375] อัตราการฆ่าคนในปี 2015 อยู่ที่ 4.9 คนต่อประชากร 100,000 คน
[376] ในปี 2016 อัตราการฆ่าคนเพิ่มขึ้น 8.6% โดยมีการฆ่าคน 17,250 ครั้งในปีนั้น
[377] อัตราการชำระคดี (clearance rate) สำหรับการฆ่าคนของประเทศในปี 2015 อยู่ที่ร้อยละ 64.1 เมื่อเทียบกับร้อยละ 90 ในปี 1965
[378] ในปี 2012 มีการฆ่าคน 4.7 คนต่อประชากร 100,000 คนในสหรัฐ ลดลงร้อยละ 54 จากยอดสูงสุด 10.2 ในปี 1980
[379] ในปี 2001–2 สหรัฐมีระดับอาชญากรรมรุนแรงสูงกว่าค่าเฉลี่ย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงจากปืนสูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น
[380] การวิเคราะห์ตามขวางของฐานข้อมูลการตายของ
องค์การอนามัยโลกจากปี 2010 แสดงว่าสหรัฐ "มีอัตราการฆ่าคนสูงกว่าประเทศรายได้สูงอื่น 7.0 เท่า ซึ่งมีสาเหตุจากอัตราการฆ่าคนด้วยปืนซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น 25.2 เท่า"
[381] สิทธิความเป็นเจ้าของปืนเป็นหัวข้อการถกเถียงทางการเมืองพิพาท
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ถึง ค.ศ. 2008 ชายคิดเป็นร้อยละ 77 ของผู้ถูกฆ่า และร้อยละ 90 ของผู้ก่อเหตุ ผิวดำก่อเหตุฆ่าคนร้อยละ 52.5 ของทั้งหมดในช่วงนั้น เป็นอัตราเกือบแปดเท่าของผิวขาว (ซึ่งรวมฮิสแปนิกส่วนใหญ่) และเป็นผู้เสียหายมากเป็นหกเท่าของผิวขาว การฆ่าคนส่วนใหญ่เป็นคนผิวเดียวกัน โดยผู้ถูกฆ่าผิวดำร้อยละ 93 ถูกผิวดำฆ่า และผิวขาว 84% ถูกผิวขาวฆ่า
[382] ในปี 2012 รัฐลุยเซียนามีอัตราการฆ่าคนและการทำให้คนตายโดยประมาทสูงสุด และรัฐนิวแฮมพ์เชียร์มีอัตราต่ำสุด
[383] รายงานอาชญากรรมเอกรูปของเอฟบีไอประมาณว่ามีอาชญากรรมรุนแรงและอาชญากรรมต่อทรัพย์สิน 3,246 ครั้งต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012 รวมมีอาชญากรรมทั้งสิ้นกว่า 9 ล้านครั้ง
[384]
มีการอนุมัติ
โทษประหารชีวิตในสหรัฐสำหรับอาชญากรรมรัฐบาลกลางและทหารบางอย่าง และมีใช้ใน 31 รัฐ
[385] ไม่มีการประหารชีวิตระหว่างปี 1967 ถึง 1977 บางส่วนเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดสหรัฐวางข้อกำหนดโทษประหารชีวิตตามอำเภอใจ ในปี 1976 ศาลสูงสุดวินิจฉัยว่าภายใต้พฤติการณ์ที่เหมาะสม อาจบังคับโทษประหารชีวิตได้ตามรัฐธรรมนูญ นับแต่คำวินิจฉัยนั้น มีการประหารชีวิตกว่า 1,300 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสามรัฐ ได้แก่ รัฐเท็กซัส เวอร์จิเนียและโอกลาโฮมา
[386] ขณะเดียวกัน หลายรัฐเลิกหรือให้โทษประหารชีวิตเป็นโมฆะ ในปี 2015 สหรัฐมีจำนวนการประหารชีวิตสูงสุดในโลกเป็นอันดับห้า รองจากประเทศจีน อิหร่าน ปากีสถานและซาอุดีอาระเบีย
[387]
สหรัฐมี
อัตราการกักขังที่มีบันทึกและประชากรเรือนจำทั้งหมดสูงสุดในโลก
[388] ตั้งแต่ต้นปี 2008 มีประชากรกว่า 2.3 ล้านคนถูกกักขัง คิดเป็นกว่า 1 คนในผู้ใหญ่ 100 คน
[389] ในเดือนธันวาคม 2012 ระบบการดัดสันดานผู้ใหญ่ของสหรัฐรวมควบคุมดูแลผู้กระทำผิดประมาณ 6,937,000 คน ผู้อยู่อาศัยผู้ใหญ่ประมาณ 1 ใน 35 คนในสหรัฐอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลการดัดสันดานอย่างใดอย่างหนึ่งในเดือนธันวาคม 2012 ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดเท่าที่สังเกตมาตั้งแต่ปี 1997
[390] ประชากรเรือนจำเพิ่มขึ้นสี่เท่าตั้งแต่ปี 1980
[391] และรายจ่ายของรัฐและท้องถิ่นด้านเรือนจำและคุกเพิ่มขึ้นสามเท่าของรายข่ายด้านศึกษาธิการในช่วงเวลาเดียวกัน
[392] อย่างไรก็ดี อัตราการจำคุกสำหรับนักโทษทุกคนที่ได้รับโทษจำคุกมากกว่าหนึ่งปีในสถานที่ของรัฐหรือรัฐบาลกลางอยู่ที่ 478 คนต่อ 100,000 คนในปี 2013
[393] และอัตรานักโทษก่อนพิจารณา/ระหว่างพิจรารณาอยู่ที่ 153 คนต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012
[394]อัตราการกักขังที่สูงของประเทศนี้ส่วนใหญ่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติคำพิพากษาและนโยบายยาเสพติด
[395] จากข้อมูลของกรมเรือนจำกลาง ผู้ต้องขังส่วนมากที่ถูกขังในเรือนจำกลางต้องโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
[396] การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชนซึ่งเรือนจำและราชการเรือนจำซึ่งเริ่มในคริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นหัวข้อถกเถียง
[397][398]ในปี 2008 รัฐลุยเซียนามีอัตราการกักขังสูงสุด
[399] ส่วนรัฐเมนมีต่ำสุด
[400]
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
จีดีพีตามตัวเลข$18.45 ล้านล้าน (Q2 2016)
[401]
การเติบโตของจีดีพีจริง1.4% (Q2 2016)
[401]
สัดส่วนการจ้างงานต่อประชากร59.7% (สิงหาคม 2016)
[404]
การว่างงาน4.9% (สิงหาคม 2016)
[405]
อัตราการมีส่วนร่วมแรงงาน62.8% (สิงหาคม 2016)
[406]
หนี้สาธารณะ$19.808 ล้านล้าน (25 ตุลาคม 2016)
[407]
มูลค่าสุทธิครัวเรือน$89.063 ล้านล้าน (Q2 2016)
[408]
จีดีพีตามตัวเลขของสหรัฐโดยประมาณอยู่ที่ 17.528 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2014
[412] ตั้งแต่ปี 1983 ถึง 2008 การเติบโตของจีดีพีต่อปีแบบทบต้นแท้จริง (real compounded annual GDP growth) อยู่ที่ 3.3% เทียบกับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 2.3% สำหรับประเทศ
จี7 ที่เหลือ
[413] จีดีพีต่อหัวสหรัฐจัดอยู่อันดับเก้าของโลก
[414][415] และมีจีดีพีต่อหัวที่พีพีพีอันดับหก
[411] ดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินตราสำรองหลักของโลก
[416]
ในปี ค.ศ. 2009 ประมาณว่าภาคเอกชนประกอบเป็น 86.4% ของเศรษฐกิจ โดยกิจกรรมของรัฐบาลกลางคิดเป็น 4.3% และกิจกรรมของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น (รวมเงินโอนของรัฐบาลกลาง) เป็น 9.3% ที่เหลือ
[424] จำนวนลูกจ้างของรัฐบาลทุกระดับมากกว่าลูกจ้างในส่วนการผลิต 1.7 ต่อ 1
[425] ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถึงระดับการพัฒนาหลังอุตสาหกรรม (postindustrial) แล้วโดย
ภาคบริการประกอบเป็น 67.8% ของจีดีพี แต่สหรัฐยังเป็นประเทศอุตสาหกรรม
[426] สาขาธุรกิจชั้นนำตามรายการรับ (gross business receipt) ได้แก่การค้าส่งและปลีก ส่วนภาคการผลิตเป็นภาคที่มีรายรับสุทธิสูงสุด
[427] ในแบบธุรกิจ
แฟรนไชส์ แมคโดนัลด์และ
ซับเวย์เป็นยี่ห้อที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดในโลกสองยี่ห้อ
โคคา-โคล่าเป็นบริษัท
น้ำอัดลมที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีที่สุด
[428]
เคมีภัณฑ์เป็นสาขาการผลิตชั้นนำ
[429] สหรัฐเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่สุดอันดับสอง
[430] สหรัฐเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและนิวเคลียร์อันดับหนึ่ง ตลอดจน
แก๊สธรรมชาติเหลว กำมะถัน ฟอสเฟต และ
เกลือ
การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีสัดส่วนเป็น 68% ของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2015
[434] ในเดือนสิงหาคม 2010 มีแรงงานอเมริกัน 154.1 ล้านคน สาขาการจ้างงานใหญ่สุด คือ ภาครัฐบาล 21.2 ล้านคน การจ้างงานภาคเอกชนใหญ่สุดคือ สาธารณสุขและการสังคมสงเคราะห์ จำนวน 16.4 ล้านคน คนงานประมาณ 12% อยู่ในสหภาพ เทียบกับ 30% ใน
ยุโรปตะวันตก[435] ธนาคารโลกจัดสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความง่ายในการจ้างและไล่คนงาน
[436] สหรัฐจัดอยู่อันดับต้นหนึ่งในสามในรายงานความสามารถการแข่งขันโลก (Global Competitiveness Report) เช่นกัน สหรัฐมี
รัฐสวัสดิการขนาดเล็กและกระจายรายได้ผ่านการกระทำของรัฐบาลน้อยกว่าชาติยุโรป
[437]
สหรัฐเป็นประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าประเทศเดียวที่ไม่รับประกันการหยุดงานโดยจ่ายค่าจ้าง (paid vacation) แก่คนงาน
[438] และเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีการหยุดงานเลี้ยงบุตรโดยจ่ายค่าจ้าง (family leave) เป็นสิทธิตามกฎหมาย โดยมีประเทศอื่น เช่น
ปาปัวนิวกินี ซูรินาม ไลบีเรีย[439] แม้ปัจจุบันกฎหมายกลางไม่รับประกันการลาป่วย แต่เป็นผลประโยชน์ทั่วไปของคนงานของรัฐบาลและพนักงานเต็มเวลาของบริษัท
[440] ตามข้อมูลของกรมสถิติแรงงาน คนงานอเมริกันเต็มเวลา 74% ลาหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง แม้คนงานไม่เต็มเวลาเพียง 24% ได้รับผลประโยชน์เดียวกัน
[440] ในปี 2009 สหรัฐมีผลิตภาพกำลังแรงงานต่อบุคคลสูงสุดเป็นอันดับสามในโลก รองจาก
ลักเซมเบิร์กและ
นอร์เวย์ สหรัฐมีผลิตภาพต่อชั่วโมงสูงสุดเป็นอันดับสี่ รองจากสองประเทศดังกล่าวและ
เนเธอร์แลนด์[441]
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกปี 2008–2012 มีผลกระทบต่อสหรัฐย่างสำคัญ โดยมีผลผลิตต่ำกว่าศักยะตามข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา
[442] ภาวะดังกล่าวนำมาซึ่งการว่างงานสูง (ซึ่งลดลงแล้วแต่ยังสูงกว่าระดับก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย) ร่วมกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำ การเสื่อมของมูลค่าบ้านอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มการบังคับเอาทรัพย์จำนองหลุดและการล้มละลายของบุคคล วิกฤตหนี้รัฐบาลกลางบานปลาย
ภาวะเงินเฟ้อ และราคาปิโตรเลียมและอาหารเพิ่มขึ้น ปัจจุบันยังมีสัดส่วนผู้ว่างงานระยะยาวเป็นสถิติ รายได้ครัวเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องและภาษีและงบประมาณรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น
รายได้ ความยากจน และความมั่งคั่ง
[แก้]
การพัฒนาบ้านจัดสรรในซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนียชาวอเมริกันมีรายได้ครัวเรือนและจากการจ้างงานเฉลี่ยสูงสุดในบรรดาชาติ
องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD) และในปี ค.ศ. 2007 มีรายได้ครัวเรือนมัธยฐานสูงสุดเป็นอันดับสอง
[445][446][447] ตามข้อมูลของสำนักสำมะโน รายได้ครัวเรือนมัธยฐานคือ 59,039 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2016
[448] แม้ประชากรอเมริกันมีเพียง 4.4% ของประชากรโลก แต่ชาวอเมริกันรวมครอบครองความมั่งคั่ง 41.6% ของโลก
[449] และเศรษฐีเงินล้าน (millionaire) ประมาณกึ่งหนึ่งของโลกเป็นชาวอเมริกัน
[450] ดัชนีความมั่นคงอาหารโลกจัดอันดับสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความสามารถมีอาหาร (food affordability) และความมั่นคงอาหารโดยรวมในเดือนมีนาคม 2013
[451] ชาวอเมริกันเฉลี่ยมีพื้นที่อยู่อาศัยต่อเคหสถานและต่อบุคคลสูงกว่าผู้อยู่อาศัยใน
สหภาพยุโรปกว่าสองเท่า และมากกว่าประเทศสหภาพยุโรปทุกประเทศ
[452] ในปี 2013
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดอันดับ
ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหรัฐอยู่อันดับ 5 จาก 187 และดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ปรับตามความไม่เสมอภาคแล้วอยู่อันดับที่ 28
[453]
หลังการเติบโตชะงักมาหลายปี ในปี ค.ศ. 2016 ข้อมูลจากสำมะโนระบุว่า รายได้ครัวเรือนมัธยฐานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังการเติบโตสูงสุดสองปีติดต่อกัน แม้ว่าความไม่เสมอภาคของรายได้ยังสูงสุดโดยผู้มีรายได้สูงสุด 20% มีรายได้มากกว่าครึ่งของรายได้รวมทั้งหมด
[454] มีช่องว่างระหว่างผลิตภาพและรายได้มัธยฐานกว้างขึ้นนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970
[455] ทว่า ช่องว่างระหว่างค่าตอบแทนทั้งหมดและผลิตภาพไม่กว้างเท่าอันเนื่องมาจากมีผลประโยชน์ของลูกจ้างเพิ่มขึ้น เช่น ประกันสุขภาพ
[456] ผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 1 มีสัดส่วนรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากร้อยละ 9 ในปี ค.ศ. 1976 เป็นร้อยละ 20 ในปี ค.ศ. 2011 กระทบต่อความไม่เสมอภาคของรายได้อย่างสำคัญ
[457] ทำให้สหรัฐเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้กว้างที่สุดในบรรดาประเทศโออีซีดีประเทศหนึ่ง
[458] ผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 1 คิดเป็นร้อยละ 52 ของการเพิ่มขึ้นของรายได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 ถึงปี ค.ศ. 2015 ทั้งนี้ นิยามรายได้ว่าเป็นรายได้ตลาดไม่รวมเงินโอนของรัฐบาล
[459]
ความมั่งคั่งสุทธิมัธยฐานของครอบครัวสหรัฐที่มา: การสำรวจการคลังผู้บริโภคของระบบธนาคารกลางสหรัฐ
[460]19982013เปลี่ยนแปลง
ทุกครอบครัว$102,500$81,200-20.8%
รายได้ต่ำสุด 20%$8,300$6,100-26.5%
รายได้ต่ำสุดรองลงมา 20%$47,400$22,400-52.7%
รายได้กลาง 20%$76,300$61,700-19.1%
รายได้สูงสุด 10%$646,600$1,130,700+74.9%ความมั่งคั่ง รายได้และภาษี กระจุกสูง กล่าวคือ ประชากรผู้ใหญ่ที่รวยที่สุด 10% ครอบครองความมั่งคั่งครัวเรือนของประเทศ 72% ในขณะที่ผู้มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยครอบครองเพียง 2%
[461] ระหว่างเดือนมิถุนายน 2007 ถึงพฤศจิกายน 2008
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกทำให้ราคาสินทรัพย์ตกลงทั่วโลก ทรัพย์สินที่ชาวอเมริกันถือครองเสียมูลค่าประมาณหนึ่งในสี่
[462] นับแต่ความมั่งคั่งครัวเรือนสูงสุดในไตรมาสที่สองของปี 2007 ความมั่งคั่งครัวเรือนลดลง 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นับจากนั้นเพิ่มขึ้น 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐกว่าระดับเมื่อปี 2006
[463][464] เมื่อสิ้นปี 2014 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 11.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
[465] ลดลงจาก 13.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นปี 2008
[466]
มีประชากรไร้บ้านแบบมีและไม่มีที่อยู่อาศัยประมาณ 578,424 คนในสหรัฐในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 โดยเกือบสองในสามอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยฉุกเฉินหรือโครงการเคหะช่วงเปลี่ยนสภาพ
[467] ในปี 2011 มีเด็ก 16.7 ล้านคนอาศยอยู่ในครัวเรือนที่ไม่มีความปลอดภัยทางอาหาร เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับระดับปี 2007 แม้เด็กสหรัฐเพียง 1.1% หรือ 845,000 คนกินอาหารลดลงหรือมีรูปแบบการกินถูกรบกวนในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนั้น และแทบทั้งสิ้นไม่เป็นแบบเรื้อรัง
[468] ตามรายงานปี ค.ศ. 2014 ของกรมสำมะโน ปัจจุบันผู้ใหญ่ตอนต้นหนึ่งในห้าคนยากจน เพิ่มขึ้นจากหนึ่งในเจ็ดในปี 1980
[469]
ระบบทางหลวงอินเตอร์สเตตซึ่งมีความยาว 75,440 กิโลเมตร
[470]การขนส่งส่วนบุคคลใช้รถยนต์เป็นหลัก สหรัฐมีเครือข่ายถนนสาธารณะของ 6.4 ล้านกิโลเมตร
[471] มีระบบทางหลวงที่ยาวที่สุดในโลกแห่งหนึ่งซึ่งยาว 91,700 กิโลเมตร
[472] สหรัฐเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่สุดอันดับสองของโลก
[473] สหรัฐมีอัตราการเป็นเจ้าของยานพาหนะต่อหัวสูงสุดในโลก โดยมี 765 คันต่ออเมริกัน 1,000 คน
[474] ประมาณ 40% ของยานพาหนะส่วนบุคคลเป็นรถตู้, รถอเนกประสงค์ (SUV) หรือรถบรรทุกเบา
[475] ผู้ใหญ่อเมริกันโดยเฉลี่ย (นับรวมหมดทั้งผู้ขับและผู้ไม่ขับ) ใช้เวลา 55 นาทีขับรถ เดินทาง 47 กิโลเมตรต่อวัน
[476]
การเดินทางไปทำงานในสหรัฐใช้ขนส่งมวลชนประมาณ 9%
[477][478] มีการขนส่งสินค้าทางรางอย่างกว้างขวาง แต่มีจำนวนผู้โดยสารค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 31 ล้านคนต่อปี) ใช้รถรางระหว่างนครเดินทาง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะความหนาแน่นของประชากรด้านในแผ่นดินของสหรัฐส่วนใหญ่ต่ำ
[479][480] อย่างไรก็ดี จำนวนผู้โดยสารแอมแทร็ก ซึ่งเป็นระบบรางโดยสารระหว่างนครแห่งชาติ เติบโตเกือบ 37% ระหว่างปี 2000 ถึง 2010
[481] นอกจากนี้ มีการพัฒนารางเบาเพิ่มขึ้นในช่วงปีหลัง ๆ
[482] มีการใช้จักรยานไปทำงานเป็นประจำมีน้อยมาก
[483]
สายส่งไฟฟ้าของสหรัฐประกอบด้วยสายยาว 300,000 กิโลเมตร มีผู้ดำเนินการประมาณ 500 บริษัท โดยมี
บริษัทความเชื่อถือได้ทางไฟฟ้าอเมริกาเหนือ (NERC) เป็นผู้ควบคุมดูแลตลาดพลังงานสหรัฐมีประมาณ 29,000 ชั่วโมงเทระวัตต์ต่อปี
[487] การบริโภคพลังงานต่อหัวมี 7.8 ตันเทียบเท่าน้ำมันต่อปี คิดเป็นอัตราสูงสุดอันดับ 10 ในโลก ในปี 2005 พลังงาน 40% มาจากปิโตรเลียม 23% จากถ่านหิน และ 22% มาจากแก๊สธรรมชาติ ส่วนที่เหลือมาจากพลังงานนิวเคลียร์และแหล่ง
พลังงานหมุนเวียน[488] สหรัฐเป็นผู้บริโภคปิโตรเลียมรายใหญ่สุดของโลก
[489] สหรัฐมีแหล่งสำรองถ่านหินทั่วโลก 27%
[490] สหรัฐเป็นผู้ผลิตแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก
[491]
พลังงานนิวเคลียร์มีบทบาทจำกัดเมื่อเทียบกับหลายประเทศพัฒนาแล้วอื่นเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการรับรู้ของประชาชนเนื่องจาก
อุบัติเหตุในปี 1979 ในปี 2007 มีการยื่นคำร้องขอเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่
[492]
การประปาและสุขาภิบาล
[แก้]ปัญหาซึ่งมีผลต่อการประปาในสหรัฐรวมถึงภัยแล้งในภาคตะวันตก การขาดแคลนน้ำ มลภาวะ การลงทุนค้าง ความกังวลเกี่ยวกับการหาน้ำได้ของผู้ยากจนที่สุด และกำลังแรงงานที่กำลังเกษียณอย่างรวดเร็ว คาดหมายว่าความแปรผันได้และความรุนแรงของฝนตกที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจาก
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นผลให้เกิดทั้งภัยแล้งและอุทกภัยที่รุนแรงขึ้น โดยมีผลลัพธ์ที่อาจร้ายแรงต่อการประปาและมลภาวะที่เกิดจากท่อระบายรวมล้น
[493][494]
ภัยแล้งน่าจะมีผลกระทบเป็นพิเศษต่อชาวอเมริกันร้อยละ 66 ซึ่งชุมชนอาศัยน้ำผิวโลก
[495] ในด้านคุณภาพน้ำดื่ม มีความกังวลเกี่ยวกับผลพลอยได้ของการฆ่าเชื้อ ตะกั่ว เพอร์คลอเรตและสารยา แต่โดยทั่วไปน้ำดื่มในสหรัฐมีคุณภาพดี
[496]
มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียซึ่ง
ทอมัส เจฟเฟอร์สันก่อตั้งในปี 1819 เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในสหรัฐ ในสหรัฐมีการศึกษาที่รัฐบาลให้ทุนสนับสนุนถ้วนหน้า แต่ก็มีสถาบันที่เอกชนให้ทุนสนับสนุนด้วยการศึกษาสาธารณะของสหรัฐมีรัฐบาลรัฐและท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ
กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐวางระเบียบผ่านการจำกัดเงินอุดหนุนของรัฐบาลกลาง รัฐส่วนใหญ่บังคับให้เด็กเข้าศึกษาตั้งแต่อายุหกหรือเจ็ดขวบ (โดยทั่วไปคืออนุบาลหรือเกรด 1) จนอายุได้ 18 ปี (โดยทั่วไปถึงเกรด 12 จบ
ไฮสกูล) บางรัฐอนุญาตให้นักเรียนออกจากโรงเรียนได้เมื่ออายุ 16 หรือ 17 ปี
[497]
เด็กประมาณ 12% ลงทะเบียนในโรงเรียนเอกชนวงแคบหรือไม่นิยมนิกาย (nonsectarian) เด็กประมาณ 2%
ได้รับการศึกษาที่บ้าน[498] สหรัฐมีรายจ่ายด้านศึกษาธิการต่อนักเรียนหนึ่งคนมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก โดยมีรายจ่ายกว่า 11,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนักเรียนประถมหนึ่งคนในปี 2010 และกว่า 12,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนักเรียนไฮสกูลหนึ่งคน
[499] นักศึกษาวิทยาลัยสหรัฐประมาณ 80% เข้า
มหาวิทยาลัยรัฐ[500]
สหรัฐมีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและรัฐบาลแข่งขันกันจำนวนมาก มหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลกส่วนใหญ่ที่องค์การจัดอันดับต่าง ๆ ทำรายการไว้อยู่ในสหรัฐ
[501][502][503] นอกจากนี้ ยังมีวิทยาลัยชุมชนท้องถิ่นซึ่งโดยทั่วไปมีนโยบายรับนักศึกษาที่เปิดกว้างกว่า มีโครงการวิชาการสั้นกว่าและค่าเรียนน้อยกว่า ชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป 84.6% จบไฮสกูล 52.6% เข้าวิทยาลัย 27.2% สำเร็จ
ปริญญาตรี และ 9.6% สำเร็จปริญญาบัณฑิต (graduate degree)
[504] อัตรา
การรู้หนังสือขั้นพื้นฐานอยู่ประมาณ 99%
[187][505]สหประชาชาติกำหนดให้สหรัฐมีดัชนีการศึกษา 0.97% อยู่อันดับที่ 12 ในโลก
[506]
สำหรับรายจ่ายสาธารณะในด้านอุดมศึกษา สหรัฐยังตามหลังประเทศ
OECD บางประเทศ แต่คิดเป็นรายจ่ายต่อหัวมากกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD และมากกว่าทุกประเทศในรายจ่ายภาครัฐและเอกชนรวมกัน
[499][507] ในปี 2012 หนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าชาวอเมริกันที่เป็นหนี้บัตรเครดิต
[508]
นักบินอวกาศเจมส์ เออร์วินกำลังเดินบนดวงจันทร์ถัดจากส่วนลงจอดและยานสำรวจดวงจันทร์ของ
อะพอลโล 15 ในปี ค.ศ. 1971 ความพยายามไปดวงจันทร์เป็นผลมาจากการแข่งขันอวกาศสหรัฐเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และการวิจัยวิทยาศาสตร์ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 สหรัฐพัฒนาวิธีการผลิตชิ้นส่วนสับเปลี่ยนได้โดยคลังอาวุธกลาง กระทรวงสงครามสหรัฐ ระหว่างครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เทคโนโลยีดังกล่าว ร่วมกับการสถาปนาอุตสาหกรรมเครื่องมือกล ทำให้สหรัฐผลิตเครื่องจักรเย็บผ้า จักรยานและสินค้าอื่นขนาดใหญ่ได้ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และกลายมาเป็นระบบการผลิตแบบอเมริกา มีการติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และการริเริ่มสายการผลิตและเทคนิคประหยัดแรงงานแบบอื่นก่อให้เกิดระบบที่เรียก การผลิตขนานใหญ่ (mass production)
[509]
ความก้าวหน้าดังนี้นำไปสู่การทำให้มีลักษณะบุคคลซึ่งเทคโนโลยีสำหรับการใช้ของปัจเจก
[519] ในปี ค.ศ. 2013 ครัวเรือนอเมริกัน 83.8% เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง และ 73.3% มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
[520] ชาวอเมริกัน 91% ยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013
[521]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ทุนวิจัยและพัฒนาประมาณสองในสามมาจากภาคเอกชน
[522] สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านงานวิจัยวิทยาศาสตร์และ
อิมแพกแฟกเตอร์ (impact factor)
[523]
โรงพยาบาลนิวยอร์ก-เพรสไบทีเรียนใน
นครนิวยอร์กเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสหรัฐมีความคาดหมายการคงชีพที่ 79.8 ปีเมื่อเกิด เพิ่มขึ้นจาก 75.2 ปีในปี ค.ศ. 1990
[524][525][526] อัตราภาวะการตายของทารกอยู่ที่ 6.17 คนต่อ 1,000 คน ทำให้สหรัฐอยู่ในอันดับที่ 56 นับจากต่ำสุดจากทั้งหมด 224 ประเทศ
[527]
การเพิ่มขึ้นของ
โรคอ้วนในสหรัฐและการปรับปรุงสุขภาพในด้านอื่นมีส่วนลดอันดับการคาดหมายการคงชีพจากอันดับที่ 11 ของโลกในปี ค.ศ. 1987 เหลือ 42 ในปี ค.ศ. 2007
[528] อัตราโรคอ้วนในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สูงสุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรม และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก
[529][530] ประชากรผู้ใหญ่ประมาณหนึ่งในสามอ้วนและอีกหนึ่งในสามมีน้ำหนักเกิน
[531]บุคลากรสาธารณสุขถือว่า
เบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนเป็นโรคระบาด
[532]
สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ สหรัฐพัฒนาแต่ผู้เดียวหรือมีส่วนร่วมอย่างสำคัญถึง 9 ใน 10 ของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ตามการสำรวจความเห็นแพทย์ปี ค.ศ. 2001 ส่วนสหภาพยุโรปและสวิสเซอร์แลนด์ร่วมกันมีส่วนร่วม 5 นวัตกรรม
[534] ตั้งแต่ปี 1966 มีชาวอเมริกันได้รับ
รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์มากกว่าประเทศอื่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 ถึงปี ค.ศ. 2002 มีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเอกชนในอเมริกามากกว่าทวีปยุโรปสี่เท่า
[535] ระบบสาธารณสุขของสหรัฐใช้เงินมากกว่าประเทศอื่นมากเมื่อวัดทั้งรายจ่ายต่อหัวและร้อยละของจีดีพี
[536]
การคุ้มครองสาธารณสุขในสหรัฐเป็นการรวมกันของความพยายามของภาครัฐและเอกชนและไม่ถ้วนหน้า ในปี ค.ศ. 2014 ประชากร 13.4 % ไม่มี
ประกันสุขภาพ[537] หัวข้อเกี่ยวกับชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพและมีประกันที่ต่ำเกินไปเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญ
[538][539] ในปี ค.ศ. 2006 รัฐแมสซาชูเซตส์เป็นรัฐแรกที่จะบังคับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
[540] กฎหมายของรัฐบาลกลางที่ผ่านในช่วงต้นปี 2010 มุ่งสร้างระบบประกันสุขภาพเกือบถ้วนหน้าทั่วประเทศในปี ค.ศ. 2014 แม้ว่ากฎหมายและผลกระทบบั้นปลายของมันยังเป็นข้อถกเถียงอยู่
[541][542]
วัฒนธรรม
[แก้]ดูเพิ่มเติมที่:
วัฒนธรรมสหรัฐ,
ชั้นทางสังคมในสหรัฐ,
วันหยุดสาธารณะในสหรัฐ และ
การท่องเที่ยวในสหรัฐสหรัฐเป็นบ้านของหลายวัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์, ประเพณี และค่านิยมต่าง ๆ
[13][543] นอกเหนือจากประชากรอเมริกันพื้นเมือง ชาวฮาวายพื้นเมืองและชาวอะแลสกาพื้นเมือง อเมริกันหรือบรรพบุรุษของพวกเขาเกือบทั้งหมดตั้งรกรากหรือเข้าเมืองภายในห้าศตวรรษที่ผ่านมา
[544] วัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่แปลงมาจากประเพณีของผู้เข้าเมืองชาวยุโรปที่มีอิทธิพลจากแหล่งอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ประเพณีที่ทาสจากทวีปแอฟริกานำเข้ามา
[13][545] การเข้าเมืองล่าสุดจากเอเชียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากละตินอเมริกา เพิ่มการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่เรียกว่าเป็นทั้งหม้อหลอมเป็นเนื้อเดียวกันและชามสลัดต่างชนิดกัน ในที่ซึ่งผู้อพยพและลูกหลานของพวกเขายังคงรักษาลักษณะทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น
[13]
แกนของวัฒนธรรมอเมริกันก่อตั้งขึ้นโดยชาวอาณานิคมบริติชโปรเตสแตนต์ และเป็นรูปเป็นร่างจากกระบวนการการตั้งถิ่นฐานชายแดน โดยมีลักษณะชาติพันธุ์ที่ถูกแปลงผ่านลงไปที่ลูกหลาน และส่งต่อไปยังผู้เข้าเมืองผ่านทางการผสมกลมกลืน ชาวอเมริกันแต่เดิมมีคุณสมบัติจริยธรรมการทำงานที่เข้มแข็ง ความชอบแข่งขัน และ
ปัจเจกนิยม[546] เช่นเดียวกับความเชื่อหนึ่งเดียวใน "หลักความเชื่อถือแบบอเมริกัน" ที่เน้นเสรีภาพ ความเสมอภาค ทรัพย์สินส่วนบุคคล ประชาธิปไตย นิติธรรม และความนิยมการปกครองที่จำกัด
[547] ชาวอเมริกันมีใจกุศลอย่างมากตามมาตรฐานโลก ตามการศึกษาของบริติชในปี 2006 ชาวอเมริกันอุทิศ 1.67% ของ GDP ให้การกุศล มากกว่าประเทศอื่น ๆ มากกว่าบริติชที่อยู่อันดับสองที่ 0.73 % ถึงสองเท่า และประมาณสิบสองเท่าของฝรั่งเศสที่ 0.14%
[548][549]
ฝันอเมริกัน หรือการรับรู้ว่าชาวอเมริกันมีการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมสูง มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้เข้าเมือง
[550] ไม่ว่าการรับรู้นี้เป็นจริงหรือไม่ยังเป็นหัวข้อการอภิปราย
[551][552][553][554][413][555] แม้วัฒนธรรมกระแสหลักถือว่า เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น
[556] แต่นักวิชาการระบุความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างชนชั้นทางสังคมต่าง ๆ ของประเทศ มีผลต่อการขัดเกลาทางสังคม ภาษาและค่านิยม
[557] ภาพลักษณ์ตนเอง มุมมองของสังคม และความคาดหวังทางวัฒนธรรมของชาวอเมริกันเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของพวกเขาในระดับที่ใกล้ชิดผิดปกติ
[558] แม้ชาวอเมริกันมีแนวโน้มอย่างมากที่จะให้คุณค่าของความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคม แต่โดยทั่วไปก็มองว่าการเป็นคนสามัญหรือระดับเฉลี่ยเป็นคุณลักษณะในทางบวก
[559]
พายแอปเปิลเป็นอาหารที่ปกติสัมพันธ์กับอาหารอเมริกันอาหารอเมริกันกระแสหลักคล้ายกับอาหารในประเทศตะวันตกอื่น ข้าวสาลีเป็นธัญพืชหลัก โดยผลิตภัณฑ์ธัญพืชประมาณสามในสี่ทำจากแป้งข้าวสาลี
[560] และอาหารหลายชนิดใช้ส่วนประกอบพื้นเมือง เช่น ไก่งวง เนื้อกวาง มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวโพด น้ำเต้าและน้ำเชื่อมเมเปิลซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปสมัยแรกเริ่มบริโภค
[561] อาหารที่ปลูกในท้องถิ่นนี้ถือเป็นเมนูของชาติร่วมกันใน
วันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นวันหยุดยอดนิยมวันหนึ่งของสหรัฐ ซึ่งชาวอเมริกันบางส่วนประกอบอาหารตามประเพณีเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสนั้น
[562]
อาหารอันเป็นลักษณะ เช่น พายแอปเปิล ไก่ทอด พิซซา แฮมเบอร์เกอร์และฮอตดอกมาจากตำรับของผู้เข้าเมืองต่าง ๆ มันฝรั่งทอด อาหารเม็กซิกันอย่างเบอร์ริโตและทาโก และอาหารพาสตาซึ่งรับมาจากแหล่งของอิตาลีอย่างอิสระมีการบริโภคอย่างแพร่หลาย
[563] ชาวอเมริกันดื่มกาแฟมากกว่าชาสามเท่า
[564] การตลาดโดยอุตสาหกรรมสหรัฐเป็นเหตุหลักให้ผลิตน้ำส้มและนม เครื่องดื่มอาหารเช้าที่พบทั่วไป
[565][566]
อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนของสหรัฐ ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก
[567] นำร่องรูปแบบขับผ่าน (drive-through) ในคริสต์ทศวรรษ 1940
[568]การบริโภคอาหารจานด่วนทำให้เกิดความกังวลด้านสุขภาพ ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990 การบริโภคแคลอรีของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 24%
[563] การกินอาหารที่ร้านอาหารจานด่วนบ่อยขึ้นสัมพันธ์กับที่ข้าราชการสาธารณสุขเรียกว่า "โรคอ้วนระบาด" ของอเมริกา
[569] น้ำอัดลมใส่น้ำตาลสูงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และเครื่องดื่มใส่น้ำตาลคิดเป็นร้อยละ 9 ของการรับแคลอรีของชาวอเมริกัน
[570]
ป้ายฮอลลีวูดใน
ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
ฮอลลีวูด ย่านตอนเหนือของ
ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้นำในด้านการผลิตภาพยนตร์แห่งหนึ่ง
[571] นิทรรศการภาพยนตร์พาณิชย์แห่งแรกของโลกจัดขึ้นในนครนิวยอร์กในปี 1894 โดยใช้
ไคนีโตสโคปของ
ทอมัส เอดิสัน[572] ปีถัดมามีการจัดแสดงพาณิชย์ครั้งแรกซึ่งภาพยนตร์ฉาย (projected film) ในนิวยอร์กเช่นกัน และสหรัฐเป็นแนวหน้าของการพัฒนาภาพยนตร์เสียงในหลายศวรรษถัดมา ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในและรอบฮอลลีวูด แม้ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 จะมีภาพยนตร์ที่มิได้ผลิตที่นี่เพิ่มขึ้น และบริษัทภาพยนตร์ต่างได้รับอิทธิพลจากแรงของ
โลกาภิวัฒน์[573]
แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักกันน้อยในขณะนั้น แต่งานของ ชาลส์ ไอฟส์ในคริสต์ทศวรรษ 1910 ทำให้เขากลายเป็นนักแต่งเพลงคนแรกที่สำคัญของสหรัฐในประเพณีคลาสสิก ขณะที่นักทดลอง เช่น เฮนรี เคาเอิล (Henry Cowell) และ
จอห์น เคจ สร้างแนวทางอเมริกันที่โดดเด่นให้กับเพลงประพันธ์คลาสสิก แอรอน โคปลันด์และ
จอร์จ เกิร์ชวินพัฒนาภาวะสังเคราะห์ใหม่ของดนตรีป๊อบและคลาสสิก
นักออกแบบท่าเต้น อิซาดอรา ดันแคน และมาร์ธา เกรแฮมช่วยสร้างการเต้นรำสมัยใหม่ ในขณะที่จอร์จ บาลานไชน์และเจอโรม รอบบินส์ เป็นผู้นำ
บัลเลต์คริสต์ศตวรรษที่ 20
รางวัลแกรมมีเป็นรางวัลที่มอบให้ศิลปินดนตรีชั้นนำลีลาจังหวะและเนื้อร้องของดนตรีแอฟริกันอเมริกันมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อดนตรีอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มันแตกต่างจากดนตรียุโรป ดนตรีส่วนที่มาจากสำนวนชาวบ้านอย่าง
บลูส์และที่ปัจจุบันเรียก ดนตรีโอลด์ไทม์ (old-time) นั้นได้รับมาและแปลงเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมกับผู้ชมทั่วโลก
แจ๊สประดิษฐ์ขึ้นจากบุคคลอย่าง
หลุยส์ อาร์มสตรองและ
ดุ๊ก เอลลิงตันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
ดนตรีคันทรีพัฒนาขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1920 และบลูส์ในคริสต์ทศวรรษ 1940
[606]
ในปี 1998 สถานีวิทยุพาณิชย์ของสหรัฐเติบโตเป็นสถานีเอเอ็ม 4,793 สถานีและเอฟเอ็ม 5,662 สถานี นอกจากนี้ ยังมีสถานีวิทยุสาธาณะ 1,460 สถานี สถานีเหล่านี้ส่วนมากมีมหาวิทยาลัยและองค์การรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาและมีเงินทุนจากสาธารณะหรือเอกชน การรับสมาชิกและการรับประกันภัยของบริษัท เอ็นพีอาร์เป็นผู้แพร่สัญาณวิทยุสาธารณะจำนวนมาก (เดิมคือ วิทยุสาธารณะแห่งชาติ) เอ็นพีอาร์ถูกก่อตั้งเป็นบริษัทในเดือนกุมภาพันธ์ 1970 ภายใต้รัฐบัญญัติการแพร่สัญญาณสาธารณะปี 1967 องค์การโทรทัศน์ พีบีเอส ก็ถูกก่อตั้งขึ้นจากกฎหมายฉบับเดียวกัน ในวันที่ 30 กันยายน 2014 มีสถานีวิทยุเต็มกำลังจดทะเบียน 15,433 สถานีในสหรัฐตามข้อมูลของคณะกรรมการการสื่อสารกลางสหรัฐ (FCC)
[612]
หนังสือพิมพ์ขึ้นชื่อรวมถึง
เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล,
เดอะนิวยอร์กไทมส์และ
ยูเอสเอทูเดย์[613] แม้ว่าค่าใช้จ่ายของการจัดพิมพ์เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ราคาของหนังสือพิมพ์โดยทั่วไปยังต่ำอยู่ ทำให้หนังสือพิมพ์อาศัยรายรับจากการโฆษณามากขึ้นและบทความที่บริการสายข่ายหลักจัดหาให้ เช่น
แอสโซซิเอเต็ดเพรสหรือ
รอยเตอส์ สำหรับความครอบคลุมระดับชาติและโลก หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในสหรัฐเป็นของเอกชน ไม่ว่าเป็นลูกโซ่ขนาดใหญ่อย่งแกนเน็ตหรือแม็กแคลทชี ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์หลายสิบหรือหลายร้อยฉบับ ลูกโซ่ขนาดเล็กซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่ง หรือมีปัจเจกบุคคลหรือครอบครัวเป็นเจ้าของซึ่งพบได้น้อยลงทุกที นครใหญ่มักมี "รายสัปดาห์ทางเลือก" เพื่อส่งเสริมหนังสือพิมพ์รายวันกระแสหลัก ตัวอย่างเช่น
เดอะวิลเลจวอยซ์ของนครนิวยอร์ก หรือ
แอลเอวีกลีของลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสองฉบับที่ขึ้นชื่อมากที่สุด นครหลักยังสนับสนุนวารสารธุรกิจท้องถิ่น หนังสือพิมพ์การค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท้องถิ่น และหนังสือพิมพ์สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์และสังคมท้องถิ่น แถบตลกหนังสือพิมพ์อเมริกันฉบับแรก ๆ และหนังสือการ์ตูนอเมริกันเริ่มปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี 1938
ซูเปอร์แมน ซูเปอร์ฮีโรหนังสือการ์ตูนของ
ดีซีคอมิกส์พัฒนาเป็นสัญรูปอเมริกัน
[614] นอกเหนือจากเว็บพอร์ทัลและโปรแกรมค้นหา เว็บไซต์ยอดนิยมได้แก่
เฟซบุ๊ก ยูทูป วิกิพีเดีย ยาฮู! อีเบย์ แอมะซอนและ
ทวิตเตอร์[615]
มีสิ่งพิมพ์เผยแพร่กว่า 800 ฉบับผลิตในภาษาสเปน ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐรองจากภาษาอังกฤษ
[616][617]
- ↑ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของ 32 รัฐ ภาษาอังกฤษและฮาวายเป็นภาษาราชการทั้งคู่ในรัฐฮาวาย และภาษาอังกฤษและภาษาเฉพาะถิ่น 20 ภาษาเป็นภาษาราชการในรัฐอะแลสกา ภาษาแอลกองเคียน เชอโรกีและซูเป็นหนึ่งในหลายภาษาราชการในดินแดนที่ชนพื้นเมืองควบคุมทั่วประเทศ ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาโดยพฤตินัยแต่ไม่เป็นทางการในรัฐเมนและลุยเซียนา ส่วนกฎหมายรัฐนิวเม็กซิโกให้ภาษาสเปนมีสถานภาพพิเศษ[2][3]
- ↑ ในห้าดินแดน ภาษาอังกฤษและภาษาเฉพาะถิ่นอย่างน้อยหนึ่งภาษาเป็นภาษาราชการ ได้แก่ ภาษาสเปนในปวยร์โตรีโก, ภาษาซามัวในอเมริกันซามัว, ภาษาชามอร์โรทั้งในเกาะวกมและหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา, ภาษาแคโรไลน์ยังเป็นภาษาราชการในหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา
- ↑ ห้าดินแดนหลักได้แก่ อเมริกันซามัว, กวม, หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา, ปวยร์โตรีโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐ พื้นที่เกาะที่เล็กกว่าสิบเอ็ดพื้นที่ซึ่งไม่มีประชากรถาวร: เกาะเบเกอร์, เกาะฮาวแลนด์, เกาะจาร์วิส, จอห์นสตันอะทอลล์, คิงแมนรีฟ, มิดเวย์อะทอลล์, และแพลไมราอะทอลล์ อำนาจอธิปไตยของสหรัฐเหนือบาโฮนวยโวแบงก์, เกาะนาแวสซา, เซร์รานียาแบงก์และเกาะเวกยังพิพาทอยู่[7]
- ↑ สารานุกรมบริตานิกาแสดงรายการประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับสามของโลก (รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา) โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 9,572,900 ตารางกิโลเมตร[9] และสหรัฐเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับที่ 4 โดยมีพื้นที่ 9,526,468 ตารางกิโลเมตร ตัวเลขของสหรัฐน้อยกว่า เดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊ก เนื่องจากไม่นับรวมน่านน้ำชายฝั่งและน่านน้ำอาณาเขต[10] เดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊ก แสดงรายการสหรัฐว่าเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับ 3 ของโลก (รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา) โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 9,833,517 ตารางกิโลเมตร[11] และประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับที่ 4 โดยมีพื้นที่ 9,596,960 ตารางกิโลเมตร[12] ตัวเลขของสหรัฐนี้มากกว่า สารานุกรมบริตานิกา เนื่องจากไม่นับรวมน่านน้ำชายฝั่งและน่านน้ำอาณาเขต
- ↑ สเปนส่งคณะสำรวจไปอะแลสกาหลายเที่ยวเพื่อยืนยันการอ้างสิทธิ์แต่ช้านานเหนือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งสืบย้อนไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1785–1795 วาณิชบริติชซึ่งได้รับการส่งเสริมจากเซอร์โจเซฟ แบงส์และมีรัฐบาลสนับสนุน พยายามพัฒนาการค้านี้อย่างต่อเนื่องแม้การอ้างสิทธิ์ของสเปนและสิทธิ์การเดินเรือ ความอุตสาหะของวาณิชเหล่านี้อยู่ได้ไม่นานเมื่อเผชิญกับการคัดค้านของสเปน ความท้าทายยังถูกคัดค้านจากการที่ประเทศญี่ปุ่นถือมั่นในการปิดประเทศอย่างดื้อรั้น[74]
- ↑ แหล่งที่มา: การสำรวจชุมชนอเมริกา 2010 กรมสำมะโนสหรัฐ ผู้ตอบส่วนใหญ่ที่พูดภาษาอื่นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษี่บ้านยังรายงานว่าพูดภาษาอังกฤษ "ดี" หรือ "ดีมาก" สำหรับกลุ่มภาษาที่แสดงรายการข้างต้น ผู้พูดภาษาเยอรมันเป็นผู้มีความสามารถภาษาอังกฤษมากที่สุด (96% รายงานว่าพูดภาษาอังกฤษ "ดี" หรือ "ดีมาก") ตามด้วยผู้พูดภาษาฝรั่งเศส (93.5%) ตากาล็อก (92.8%) สเปน (74.1%) เกาหลี (71.5%) จีน (70.4%) และเวียดนาม (66.9%)
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด,
รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย
จังหวัดร้อยเอ็ด, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด,